posttoday

บุรุษที่เดาใจยากที่สุด ปูตินซ่อนเป้าหมายอะไรไว้?

17 กุมภาพันธ์ 2565

ในหมู่ผู้นำทั่วโลกไม่มีใครที่เป็นที่สุดเท่ากับวลามิดีร์ ปูติน

เขาเป็นผู้นำโลกที่ก้าวสู่ตำแหน่งสูงสุดโดยใช้เวลาที่สั้นที่สุดคนหนึ่ง จากเริ่มเดินบนนถนนการเมืองด้วยการเป็นแค่ที่ปรึกษาของอาจารย์ของเขาที่เป็นนายกเทศมนตรีเลนินกราดในปี 1991 จนถึงคว้าเก้าอี้ประธานาธิบดีในปี 2000 เขาใช้เวลาแค่ 9 ปี

ขณะที่โจ ไบเดนใช้เวลาค่อนชีวิต โดยเริ่มเส้นทางการเมืองปี 1971 กว่าจะเดินทางถึงตำแหน่งสูงสุดก็ปาเข้าไป 2021 รวมแล้ว 50 ปี

เขาเป็นผู้นำมหาอำนาจโลกที่ดำรงตำแหน่งลากยาวที่สุดในศตวรรษที่ 21 ซึ่งรวมถึงช่วงที่เขาให้ "นอมินี" นั่งตำแหน่งประธานาธิบดีแทนเขาอยู่ช่วงหนึ่ง

สถิติความเป็นที่สุดของปูตินหาอ่านดูไม่ยาก แต่สิ่งที่อ่านยากยิ่งกว่าคือ "ความคิดของปูติน"

เขาเป็นผู้นำที่เดาใจได้ยากที่สุดคนหนึ่ง

ปกติคนทั่วไปว่าเดาใจได้ยากแล้ว คนระดับผู้นำยิ่งเดายากขึ้นไปอีก ส่วนปูตินนั้นเป็นคนที่คาดเดาอะไรไม่ได้เลย

ลองดู "การปิดล้อม" ยูเครนเป็นตัวอย่าง

หากปูตินไม่ได้สับขาหลอกก็คงปั่นหัวชาติตะวันตกเล่นจนสนุก อีกฝ่ายบอกว่าจะบุกวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ปูตินก็สนองด้วยการสั่งให้ถอนกำลังออกมา

มีอีกหลายเรื่องที่ปูตินแสดงให้โลกเห็นว่าอย่ามาเดาใจเขา เพราะไม่มีทางล่วงรู้ได้หรอก

แต่เพราะเขาเป็นผู้นำที่เป็นชี้ตายโลกได้ การเดาใจของปูตินจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

และที่สำคัญพอๆ กันคือเราจะต้องรู้ด้วยว่าโลกตะวันตกคิดอย่างไรกับปูตินผ่านหนังสือชีวประวัติเกีย่วกับเขาหรือรายงานเกี่ยวกับสภาพของรัสเซียใต้การปกครองของเขา เพราะข้อมูลเหล่านี้นี่แหละที่ทำให้โลกตะวันตกไม่ไว้ใจปูติน

ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่ารัสเซียในยุคสมัยของปูตินเป็นรัสเซียที่ "หลอน" และเป็น "มายา" เพราะมันถูกฉาบไว้ด้วยภาพลักษณ์จำแลง

เหมือนกับที่ปีเตอร์ โปเมอรานเชฟ (Peter Pomerantsev) บอกว่า "คำกล่าวที่ว่า 'ทุกอย่างคือการพีอาร์' กลายเป็นวลียอดนิยมของรัสเซียยุคใหม่"

ดังนั้น ความเคลื่อนไหวทางการเมืองของรัสเซีย โดยเฉพาะปูตินนั้นต้องเหมาเอาไว้ก่อนว่ามีเจตนาที่จะทำพีอาร์หรือโฆษณาชวนเชื่ออะไรสักอย่าง

โปเมอรานเชฟเกิดในยุคสหภาพโซเวีชยตเขาเป็นชาวยูเครนแต่ต่อมาเปลี่ยนสัญชาติเป็นบริติช ทุกวันนี้มีอาชีพเป็นนักข่าว เขียนหนังสือสองเรื่องเกี่ยวกับรัสเซียสมัยใหม่ที่ชวนอ่านคือ Nothing Is True and Everything Is Possible กับ This Is Not Propaganda เป็นหนังสือที่ว่าด้วยการโฆษณชวนเชื่อและข่าวปลอมที่หลอกชาวรัสเซียให้เชื่อในภาพที่ลักษณ์จำแลง

ปูตินนั้นเคยเป็น KGB เก่า เขาย่อมเชี่ยวชาญในกลยุทธ์ของสายลับ เหตุการณ์อื้อฉาวที่สุดบางเรื่องที่เกิดขึ้นในยุคสมัยของปูตินก็พัวพันกับแท็คติกของสายลับ ตั้งแต่การวางยาฝ่ายตรงข้าม ไปจนถึงการกระจายข่าวปลอมเพื่อบ่อยทำลายประเทศเป้าหมาย

ปูตินเคยเป็น KGB แต่เขาชิงชังคอมมิวนิสต์ เขาคิดว่ามันไร้อนาคต ดังนั้นการจะเข้าใจปูตินด้วยการเทียบกับเขาว่าเป็นผู้ยุคสงครามเย็นจึงอาจผิดเพี้ยนไป ตัวอย่างคือ ในยุคของปูตินการโฆษณาชวนเชื่อของสื่อรัสเซียในยุคของปูตินถึงจะใช้แท็คติกแบบ KGB ในการกระจายข่าวปลอม แต่ปฏิบัติการนี้ทำแบบอำพรางและใต้ดิน

ประเด็นนี้ยิ่งอธิบายยิ่งยาว ผู้สนใจสามารถอ่านได้จากความวิเคราะห์เรื่อง "เปิดสมรภูมิไอโอระดับโลกในยุคที่ข้อมูลคืออาวุธ" และ "โคตรเซียน "ไอโอ" คือไอโอรัสเซีย"

ในระดับบนดินเขาใช้วิธีตรงกันข้ามกับยุคสงครามเย็น เช่น สำนักข่าว RT อันโด่งดัง โปเมอรานเชฟบอกว่า "นี่เป็นการโฆษณาชวนเชื่อรูปแบบใหม่ของเครมลิน ลดการโต้เถียงกับตะวันตกลงในแบบที่เคยตอบโต้เหมือนสมัยสงครามเย็น หันไปเพิ่มการใช้ภาษาของตนเพื่อยั่วล้อและเยาะเย้ยจากภายใน"

หากใครติดตาม RT เป็นประจำจะสังเกตว่ามันเป็นแบบที่โปเมอรานเชฟบอกไม่มากก็น้อย สื่อของรัสเซียไม่ตอบโต้สื่อตะวันตกเลย แต่เสนอข่าวในมุมตรงกันข้ามแบบทีเล่นทีจริง หรือในมุมที่ทำให้อีกฝ่ายดูเหมือนตัวตลก น่าอับอาย หรือกลายเป็นตัวปล่อยข่าวปลอมเสียเอง

ขณะที่โลกตะวันตกใช้กลยุทธ์แบบ Demonization กับรัสเซีย คือทำให้รัสเซียดูเป็นพวกยักษ์พวกมาร แต่ปูตินของรัสเซียทำให้ตะวันตกมีสภาพเป็นเหมือนเด็กขี้แกล้ง จอมบูลลี่ และไอ้ขี้โม้ คือกลยุทธ์ Minimisation ที่ทำให้อีกฝ่ายดูจิ๊บจ๊อย ด้อยค่า

แต่สาระของหนังสือเหล่านี้ก็คือรัสเซียนั้น "คาดเดาอะไรไม่ได้" ซึ่งหมายถึงปูตินด้วย เพราะเขาคือผู้ที่ทำให้รัสเซียมีสภาพแบบนี้

มีผู้พยายามอธิบายตัวตนของปูตินเอาไว้เหมือนกัน เช่น คลิฟฟอร์ด จี. แกดดี (Clifford G. Gaddy) ผู้เขียนร่วมของหนังสือ Mr. Putin: Operative in the Kremlin แกดดี เสนอว่าอัตลักษณ์ของปูตินมีอยู่ 6 ชั้น

ทั้ง 6 ชั้นคือ “Statist” (ผู้นิยมรัฐแข็งแกร่ง), “Survivalist” (นักเอาตัวรอดในสถานการณ์คับขัน), “Man of History” (ใช้ประวัติศาสตร์ในทางการเมือง), “Outsider” (ทำตัวเป็นคนนอกเพื่อจับตาความเป็นไป), Free Marketeer” (ใช้ทุนนิยมเพื่อฟื้นเศรษฐกิจ) และ “Case Officer” (หัวหน้าข่าวกรองที่ควบคุม "สาย" ที่ทำงานให้)

ในอัตลักษณ์ทั้ง 6 ชั้น มีอยู่ข้อหนึ่งที่น่าจะอธิบายท่าทีของเขาต่อการก่อกวนยูเครน คือ Man of History 

ปูตินไม่ค่อยสบอารมณ์กับสหภาพโซเวียต เขาแสดงท่าทีชื่นชอบ "จักรวรรดิรัสเซีย" ในสมัยของเขามีการรื้อฟื้นเกียรติภูมิของจักรวรรดิและพระเจ้าซาร์ที่เคยเป็นสิ่งต้องห้ามในยุคสหภาพโซเวียต มันไม่ใช่แค่ความชอบ "เรื่องเก่าๆ" ปูตินมีความคิดที่จะทำให้รัสเซียยิ่งใหญ่อย่างในยุคจักรวรรดิ

ในยุคจักรวรรดินั้น ยูเครนคือส่วนหนึ่งของ "รัสเซียอันยิ่งใหญ่" และยังเป็นส่วนหนึ่งของอิทธิพลรัสเซียในยุคสหภาพโซเวียต และมีคำกล่าวว่า รัสเซียคือรัสเซียใหญ่ ยูเครนคือรัสเซียน้อย และเบลารุสคือรัสเซียขาว - ทั้งหมดล้วนเป็น "ชาวรุส"

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2021 หลังจากที่รัสเซียเริ่มระดมพลใกล้ชายแดนยูเครน ปูตินเขียนบทความที่ชื่อ "ว่าด้วยเอกภาพทางประวัติศาสตร์ของชาวรัสเซียกับชาวยูเครน" เริ่มต้นมาปูตินก็บอกแล้วว่า "ชาวรัสเซียและยูเครนคือคนๆ เดียวกัน"

บทความนี้สะท้อนถึงความสนใจประวัติศาสตร์ของปูติน เขาอธิบายความเกี่ยวพันระหว่างคนรัสเซียและยูเครนอย่างละเอียดละออแต่ก็เข้าใจง่าย ไม่ใช่แค่ความเกี่ยวข้องระหว่าง 2 ชาติ (ซึ่งก็คือชาติเดียวกันในทัศนะปูติน) แต่รวมถึงความพยายามของคนบางกลุ่มที่ทำให้ยูเครนแปลกแยกจากรัสเซียให้ได้ ไม่ใช่แค่สิ่งทีเกิดขึ้นตอนนี้แต่ยังเกิดขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่แล้วๆ มา เช่น การแยกคริสตจักรรัสเซียออร์ทอดอกซ์ออกเป็นฝ่ายรัสเซียและฝ่ายยูเครน ทั้งๆ ที่มาจากแหล่งเดียวกัน

ปูตินเขียนไว้ว่า "ทีละขั้นทีละตอน ยูเครนถูกดึงเข้าสู่เกมภูมิศาสตร์การเมืองที่อันตราย โดยมีเป้าหมายเพื่อเปลี่ยนยูเครนให้กลายเป็นกำแพงกั้นระหว่างยุโรปและรัสเซีย เพื่อเป็นฐานที่มั่นต่อต้านรัสเซียมา ถึงเวลาที่แนวคิดของ "ยูเครนไม่ใช่รัสเซีย" ไม่เหมาะอีกต่อไปแล้ว ต้องหันมาใช้ "การต่อต้านรัสเซีย" ซึ่งเราจะไม่มีวันยอมสยบ"

แม้จะเป็นข้อเขียนทางประวัติศาสตร์ แแต่มันเผยให้เห็นวิธีคิดของปูตินอย่างแจ่มแจ้ง ข้อเขียนข้างต้นตีความได้ว่าปูตินต้องการให้ยูเครนเป็นแนวกันชนไม่ใช่ส่วนหนึ่งของยุโรปที่เป็นฐานที่มั่นต้านรัสเซีย (ด้วยการเป็นสมาชิกนาโต) หรือที่สุดแล้วยูเครนควรร่วมหัวจมท้ายกับรัสซีย ดังที่บอกว่า

"ผมเชื่อมั่นว่าอำนาจอธิปไตยที่แท้จริงของยูเครนจะเป็นไปได้อย่างมั่นคงก็ต่อเมื่อร่วมมือกับรัสเซีย ความสัมพันธ์ด้านจิตวิญญาณ ด้านมนุษย์ และอารยธรรมของเราก่อตัวขึ้นเป็นเวลาหลายศตวรรษ ย้อนกลับไปที่แหล่งเดียวกัน"

และปิดท้าย (เกือบจะท้ายสุดเหมือนตอนเริ่มต้น) ว่า "ท้ายที่สุดแล้วเราเป็นคนๆ เดียวกัน"

ปูตินยังเขียนว่าหากรัสเซีย ยูเครน และเบลารุสคิดจะเป็นประเทศต่างหากก็ย่อมเข้าใจได้ แต่ "ยูเครนในวันนี้สถานการณ์แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงเนื่องจากเรากำลังพูดถึงการบังคับให้เปลี่ยนเอกลักษณ์ และสิ่งที่น่าขยะแขยงที่สุดคือชาวรัสเซียในยูเครนไม่เพียงแต่ต้องละทิ้งรากเหง้าของพวกเขาจากบรรพบุรุษเท่านั้น แต่ยังต้องเชื่อว่ารัสเซียเป็นศัตรูของพวกเขาด้วย"

แต่ความคิดนี้แหละที่ทำให้โลกตะวันตกหวาดแล้ว และที่กลัวกว่าตะวันตกคือประเทศที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของอดีตสหภาพโซเวียต-จักรวรรดิรัสเซีย

ประเทศพวกนี้ (เช่น ลิทัวเนีย) จึงเป็นตัวตั้งตัวตีช่วยส่งอาวุธไปใหยูเครน เพราะคงหวั่นใจว่าเสร็จจากยูเครน "ซาร์ปูติน" คงจะเขมือบพวกตนกลับคืนสู่อ้อมอกของจักรวรรดิต่อไป

วาดิม ชเตปา (Vadim Shtepa) บรรณาธิการของ Region.Expert สื่ออิสระรายเดียวที่ติดตามเรื่องภูมิภาคนิยมและสหพันธรัฐนิยมในรัสเซียเขียนไว้ว่า "ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน ไม่ได้ตีความประเทศว่าเป็นปรากฏการณ์ทางประชาสังคม แต่เป็นชาติพันธุ์ที่อิงศาสนา (เหมือนกับสมัยจักรวรรดิรัสเซีย - ผู้เขียน) ความคิดแบบจักรวรรดินี้ไม่สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศสมัยใหม่ และเป็นอันตรายต่อเพื่อนบ้านของรัสเซียทั้งหมด"

ว่ากันตามเนื้อผ้า แนวคิดเรื่อง "รัสซียอันยิ่งใหญ่" ไม่ได้มีแค่ในยุคจักรวรรดิ แต่ในยุคสหภาพโซเวียตก็มีลักษณะแบบเดียว (แม้พวกคอมมิวนิสต์จะอ้างว่าสหภาพโซเวียตเป็นการสร้าง "สากล" ที่ไร้รัฐชาติ แต่มันก็คือจักรวรรดินิยมแบบหนึ่งนั่นเอง)

แต่ที่ต่างกันเกิดจากตัวปูตินเอง ปูตินนั้นไม่ชอบสหภาพโซเวียตที่บริหารแบบคณะกรรมการผ่าน "เปรซิเดียม" แต่เขามีแนวโน้มที่จะชอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ตัวเขาเองเป็น "ซาร์" ที่ชี้นำทุกอย่างเพียงลำพัง

แต่ความคิดเรื่อง "ซาร์ปูติน" ก็อาจเป็นเพียงอาการหลอกตัวเองของชาติตะวันตกหรือการโฆษณาชวนให้กลัวก็ได้ ขณะที่โปเมอรานเชฟบอกว่ารัสเซียในยุคปูตินเต็มไปด้วยการหลอกลวงและโฆษณาชวนเชื่อ ชาติตะวันตกเองก็ทำแบบเดียวกันด้วย ดังที่ปูตินย้ำในบทความครั้งแล้วครั้งเล่าว่ามีพวกที่กระตุ้นให้เกิดกระแสต้านรัสเซีย

เราประเมินจากงานเขียนของเขาได้ว่า ปูตินยอมไม่ได้ที่ยูเครนจะกลายเป็นเครื่องมือของบางพวกให้ต้านรัสเซีย ยิ่งยอมไม่ได้เมื่อเห็น "คนรัสเซียในยูเครน" (คือภาคตะวันตกของยูเครนและที่ไครเมีย) ถูกยัดเยียดให้ต้องชิงชังรัสเซีย นั่นคือเหตุผลที่ปูตินต้องทำอะไรสักอย่าง

ปูตินบอกว่ายูเครนนั้นคือ "อาณาเขตทางประวัติศาสตร์ของเรา" การใช้คำแบบนี้ตีความได้สองแง่สองง่าม ผู้เขียนคิดว่าปูตินต้องการสื่อว่ามันเป็นเรื่องของประวัติศาสตร์ไปแล้ว ที่ยกขึ้นมาก็เพื่อย้ำถึงความเป็นรากเเหง้าหนึ่งเดียวของชาวรัสเซียและยูเครน

แต่วาดิม ชเตปาเห็นต่างไป เขาบอกว่าถ้ายูเครนจะอ้างว่าดินแดนของรัสเซียเป็นของยูเครนบ้างเล่าจะเป็นอย่างไร? เพราะเริ่มต้นนั้นแผ่นดินเดิมของรัสเซียคือมัสโกวีปกครองโดยเจ้าชายแห่งเคียฟ แต่ยูเครนก็ไม่เคลมแบบนั้นเพราะยึดเอาอาณาเขตที่พัฒนาขึ้นมาหลังจากนั้น ส่วนปูตินนั้น "หลง" อยู่ในประวัติศาสตร์แห่งจักรวรรดิ

เรื่องนี้เถียงกันได้ไม่มีที่สิ้นสุด แต่เราจะเห็นได้ว่าวิธีคิดเบื้องหลังของกรณียูเครนนั้นคืออะไร บทความนี้สะท้อนทั้งจิตใจของปูติน นโยบาย วิสัยทัศน์ และสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

เราอาจจะไม่รู้ทุกสิ่งทุกอย่างในใจของปูติน โดยเฉพาะคำสั่งถอยทัพ ถอนทัพ อุบายการเมือง หรือวิเทโศบายเรื่องการต่างประเทศ

แต่เรารู้อย่างหนึ่งว่าการเป็น “Man of History” ของปูตินทำให้เราเห็นความคิดของเขาได้แจ่มแจ้งเพียงใด

โดย กรกิจ ดิษฐาน

Photo - Thibault Camus/Pool via REUTERS/File Photo

 

ข่าวล่าสุด

ประเสริฐยันจบด้วยดี “ไชยา” ลาเพื่อไทยเหตุจำเป็นการเมือง