posttoday

ฮ่องกงพบ 2 นักเดินทางติดโอมิครอนระหว่างกักตัว แม้ไม่ได้ออกจากห้อง

07 ธันวาคม 2564

นักวิจัยฮ่องกงหวั่นโอมิครอนกระจายในโถงทางเดิน หลังพบ 2 นักเดินทางห้องตรงข้ามติดเชื้อแม้ไม่ได้ติดต่อกัน

Bloomberg รายงานงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮ่องกงซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Emerging Infectious Diseases เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ระบุว่า ฮ่องกงพบ 2 นักเดินทางจากต่างประเทศติดโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนขณะอยู่ระหว่างกระบวนการกักตัวที่โรงแรมในฮ่องกง โดยภาพจากกล้องวงจรปิดแสดงให้เห็นว่าทั้งคู่ไม่ได้ออกจากห้องและไม่มีการสัมผัสใกล้ชิดหรือติดต่อกับใคร

สมมติฐานที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดในตอนนี้คือเชื้ออาจแพร่กระจายอยู่ในอากาศบริเวณโถงทางเดิน ซึ่งผู้ป่วยได้รับเชื้อเมื่อเปิดประตูห้องเพื่อรับอาหารในช่วงเวลาเดียวกัน

ทั้งนี้ นักเดินทาง 2 คนมาจากแคนาดาและแอฟริกาใต้ ซึ่งได้รับวัคซีนของ Pfizer ครบ 2 โดสแล้ว ทั้งคู่มีผลตรวจเชื้อแบบ PCR เป็นลบก่อนเดินทางถึงฮ่องกงเมื่อวันที่ 10 พ.ย. และเข้าสู่กระบวนการกักตัวในโรงแรมเดียวกัน ห้องตรงข้ามกัน

นักเดินทางจากแอฟริกาใต้มีผลตรวจหาเชื้อเป็นบวกในวันที่ 13 พ.ย. ซึ่งคาดว่าจะได้รับเชื้อก่อนเดินทางมาถึงฮ่องกง ขณะที่นักเดินทางจากแคนาดาเริ่มมอาการป่วยและมีผลตรวจเชื้อเป็นบวกในอีก 4 วันถัดมา

ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮ่องกงระบุว่า "การแพร่กระจายของโอมิครอนระหว่างผู้ที่ได้รับวัคซีนครบ 2 โดสซึ่งไม่ได้สัมผัสใกล้ชิดหรือติดต่อกัน เน้นย้ำถึงความกังวลว่าเชื้ออาจแพร่ระบาดได้ง่ายขึ้นรวมถึงในกลุ่มผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้ว"

ทั้งนี้ โอมิครอนมีการกลายพันธุ์บริเวณโปรตีนหนาม (spike protein) ในหลายตำแหน่งทำให้เกิดความกังวลว่าจะสามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันจากวัคซีน ส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้น และขัดขวางความพยายามในการฟื้นฟูเศรษฐกิจโลก

นักวิทยาศาสตร์จากองต์การอนามัยโลก (WHO) กล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า นักวิจัยประมาณ 450 คนจากทั่วโลกเร่งศึกษาเพื่อทำความเข้าใจการกลายพันธุ์ของโอมิครอนว่าจะส่งผลต่อประสิทธิภาพของวัคซีนและเพื่อศักยภาพในการแพร่เชื้อหรือไม่ ซึ่งคาดว่าจะได้คำตอบในเร็ววันนี้

ในระยะหลังมานี้ผู้ป่วยโควิด-19 เพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณในหลายพื้นที่ของแอฟริกาใต้ ส่งผลให้มีการแพร่ระบาดระลอกที่ 4 ซึ่งเกิดจากเชื้อโอมิครอน ขณะที่หลายสิบประเทศตรวจพบเชื้อดังกล่าวแล้วเช่นกัน แต่ยังคงเร็วเกินไปที่จะสรุปเกี่ยวกับความรุนแรงของโอมิครอน เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง และยังไม่พบผู้เสียชีวิต

Photo by Bertha WANG / AFP