posttoday

สีจิ้นผิง : บุรุษผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนบนการเดินทางใหม่

07 พฤศจิกายน 2564

บทความพิเศษของสำนักข่าวซินหัว ว่าด้วยเสีนทางการบริหารประเทศของสีจิ้นผิง เขาเดินบนเส้นทางสายไหน และกำลังจะพาจีนไปยังทิศทางไหน? (ภาพปกข่าวPhoto by GREG BAKER / AFP)

นับเป็นเวลา 72 ปีแล้ว ที่พรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPC) ได้บริหารปกครองจีน ซึ่งถือเป็นพรรคการเมืองเพียงไม่กี่พรรคบนโลกที่มีประวัติศาสตร์ยืนยาวและระยะเวลาปกครองประเทศต่อเนื่องเช่นนี้ โดยปัจจุบันมี “สีจิ้นผิง” เป็นแกนหลักของการนำพรรคฯ

ขณะที่หลายทศวรรษก่อนหน้านี้ การนำแบบรวมศูนย์ของพรรคฯ มีเหมาเจ๋อตง เติ้งเสี่ยวผิง เจียงเจ๋อหมิน และหูจิ่นเทา เป็นแกนหลักของการนำหลายต่อหลายรุ่น

นับตั้งแต่สีจิ้นผิงได้รับเลือกตั้งเป็นเลขาธิการใหญ่คณะกรรมการกลางพรรคฯ ในเดือนพฤศจิกายน 2012 สีจิ้นผิงได้แสดงบทบาทของบุรุษผู้มีความมุ่งมั่นและพูดจริงทำจริง บุรุษผู้มีความคิดและความรู้สึกลึกซึ้ง บุรุษผู้สืบทอดมรดกและกล้าหาญสร้างสิ่งใหม่ และบุรุษผู้มีวิสัยทัศน์ก้าวไกลและตั้งใจทำงานอย่างมิรู้จักเหน็ดเหนื่อย

แชนเนล นิวส์ เอเชีย ช่องข่าวภาษาอังกฤษในสิงคโปร์ ระบุว่าจีนกำลังกลายเป็นประเทศมหาอำนาจภายใต้การนำของสีจิ้นผิง และปัจจุบันจีนกำลังก้าวเข้าสู่ยุคสมัยแห่งความแข็งแกร่ง

ก้าวเดินกับประชาชน

ในวัย 15 ปี สีจิ้นผิงเดินทางสู่หมู่บ้านเหลียงเจียเหอของมณฑลส่านซีด้วยสถานะ “ยุวปัญญาชน” ในปี 1969 และเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่หมู่บ้านแห่งนี้ในปี 1974

ใช้ชีวิตอยู่ที่หมู่บ้านเล็กๆ บนที่ราบสูงดินลมหอบแถบชนบทแห่งนี้นานเจ็ดปี ยามสิ้นสุดวันของการทำงานหนัก สีจิ้นผิงจะกลับเข้าบ้านถ้ำโบราณและหลับพักผ่อนบนเตียงดินเหนียวแสนธรรมดา

สีจิ้นผิงใช้เวลาเนิ่นนานถึง 38 ปี ดำรงตำแหน่งต่างๆ ตามลำดับชั้นภายในพรรคฯ ก่อนจะย่างก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดเฉกเช่นทุกวันนี้

หลังจากเข้าร่วมพรรคฯ สีจิ้นผิงเริ่มต้นด้วยตำแหน่งเลขาธิการพรรคฯ ประจำหมู่บ้านเหลียงเจียเหอ ซึ่งเหล่าเพื่อนร่วมงานในหมู่บ้านเผยว่า “สีจิ้นผิงทำงานอย่างซื่อตรง มีความคิดหลากหลาย สามารถรวมประชาชนและเจ้าหน้าที่เป็นหนึ่งเดียวกัน”

สีจิ้นผิงรำลึกถึงตอนอยู่หมู่บ้านเหลียงเจียเหออันยากไร้ว่าสิ่งที่ตนเองต้องการมากกว่าสิ่งใดคือทำให้ชาวบ้านมี “เนื้อสัตว์บนจานข้าว”

ปี 1975 สีจิ้นผิงได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยชิงหัวในกรุงปักกิ่ง หลังจากสำเร็จการศึกษา สีจิ้นผิงทำงานแรกที่สำนักงานทั่วไปของคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลาง ก่อนย้ายไปอำเภอเจิ้งติ้งของมณฑลเหอเป่ยทางตอนเหนือในปี 1982

สีจิ้นผิงเล่าถึงการย้ายไปยังเจิ้งติ้งว่าตนเองอาสาทำงานระดับรากหญ้าท่ามกลางประชาชน และอยาก “รักประชาชนเหมือนที่รักพ่อแม่”

ต่อจากเจิ้งติ้ง เส้นทางอาชีพทางการเมืองของสีจิ้นผิงเบนสู่มณฑลชายฝั่งทะเลอย่างฝูเจี้ยนและเจ้อเจียง รวมถึงมหานครเซี่ยงไฮ้ ซึ่งไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน สายสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างสีจิ้นผิงกับประชาชนเป็นสิ่งที่เด่นชัดเสมอ

หลิวจิ้งเป่ย ศาสตราจารย์ประจำสถาบันภาวะผู้นำของผู้บริหารแห่งประเทศจีน (CELAP) ในเขตผู่ตงของเซี่ยงไฮ้ กล่าวว่าปรัชญายึดประชาชนเป็นศูนย์กลางของสีจิ้นผิงได้อธิบายว่าทำไมสีจิ้นผิงจึงสั่งการรักษาชีวิตประชาชนอย่างสุดกำลังระหว่างการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19)

สีจิ้นผิงกลับสู่กรุงปักกิ่งในปี 2007 เพื่อดำรงตำแหน่งคณะกรรมการถาวรประจำกรมการเมืองแห่งคณะกรรมการกลางพรรคฯ และตำแหน่งรองประธานาธิบดีจีนในเวลาต่อมา โดยกำกับดูแลงานด้านต่างๆ ครอบคลุมการสร้างพรรคฯ งานองค์กร กิจการเขตบริหารพิเศษฮ่องกงและมาเก๊า และการเตรียมความพร้อมสำหรับการแข่งขันกีฬาปักกิ่ง โอลิมปิก 2008

สีจิ้นผิงในวัย 59 ปี ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งอาวุโสที่สุดของพรรคฯ ในเดือนพฤศจิกายน 2012 และราวหนึ่งเดือนต่อมา สีจิ้นผิงฟันฝ่าอากาศเย็นของฤดูหนาวเยี่ยมชาวบ้านยากจนในมณฑลเหอเป่ย นั่งพูดคุยกับพวกเขาถึงรายได้ ซักถามว่ามีอาหาร ผ้าห่ม และถ่านหินเพียงพอจะผ่านพ้นฤดูหนาวหรือไม่ ซึ่งสีจิ้นผิงเผยว่าเศร้าใจที่ได้เห็นชาวบ้านบางส่วนยังคงมีชีวิตที่ยากลำบาก

เสริมความแข็งแกร่งของพรรคฯ

ปี 2021 นับเป็นปีที่ 9 ของโครงการปราบปรามการทุจริตของสีจิ้นผิง ซึ่งดำเนินการเป็นวงกว้างมากที่สุดในประวัติศาสตร์จีน และไม่มีสัญญาณของการโอนอ่อนผ่อนปรนแต่อย่างใด

ปีก่อนมีเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงในภาคการเงินถูกลงโทษหรือสอบสวนมากกว่า 20 คน ขณะช่วงสามสิบวันที่ผ่านมา มีอดีตเจ้าหน้าที่รัฐระดับกระทรวงในหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลกลางถูกสอบสวน และเจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งถูกลงโทษ

ช่วงเก้าปีที่ผ่านมา มีเจ้าหน้าที่รัฐระดับกระทรวงและระดับกระทรวงขึ้นไปถูกลงโทษหรือสอบสวนมากกว่า 400 คน ซึ่งรวมถึงอดีตสมาชิกคณะกรรมการถาวรประจำกรมการเมืองแห่งคณะกรรมการกลางพรรคฯ และอดีตรองประธานคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลางสองคน

นอกจากนั้นมีผู้หลบหนีคดีความมากกว่า 8,300 คน ถูกนำตัวกลับมาสะสางความผิดจากกว่า 120 ประเทศและภูมิภาคระหว่างปี 2014-2020

“สีจิ้นผิงทวนกระแสในห้วงยามสำคัญ” บทบรรณาธิการของสื่อต่างประเทศระบุ

สีจิ้นผิงในฐานะเลขาธิการใหญ่คณะกรรมการกลางพรรคฯ พยายามบัญญัติและแก้ไขระเบียบข้อบังคับภายในพรรคฯ ราว 200 รายการ ทั้งยังดำเนินโครงการการศึกษาทั่วพรรคฯ ห้าโครงการ เพื่อกระชับอุดมการณ์และความเชื่อมั่นของสมาชิกพรรคฯ รวมถึงรักษาการปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ปัจจุบันจำนวนสมาชิกพรรคฯ ขยายตัวจนอยู่ที่ 95 ล้านคน เมื่อนับถึงเดือนมิถุนายนปีนี้ โดยคณะผู้เชี่ยวชาญด้านกิจการจีนชี้ว่าพรรคฯ มีระเบียบวินัย โปร่งใส และทรงอำนาจยิ่งขึ้น

การประชุมเต็มคณะครั้งที่ 6 ของคณะกรรมการกลางพรรคฯ ชุดที่ 18 ในปี 2016 ได้กำหนดสถานะของสีจิ้นผิงเป็นแกนหลักของคณะกรรมการกลางพรรคฯ และพรรคฯ ทั้งมวล

การประชุมสมัชชาใหญ่พรรคฯ ครั้งที่ 19 ในเดือนตุลาคม 2017 ได้รับรองความคิดสีจิ้นผิงว่าด้วยสังคมนิยมอันมีอัตลักษณ์จีนสำหรับยุคใหม่ (Xi Jinping Thought on Socialism with Chinese Characteristics for a New Era) และบรรจุเข้าธรรมนูญพรรคฯ รวมถึงรัฐธรรมนูญของจีนด้วย

ซินหมิง ศาสตราจารย์ประจำโรงเรียนพรรคฯ แห่งคณะกรรมการกลางพรรคฯ (สถาบันธรรมาภิบาลแห่งชาติ) กล่าวว่าเฉกเช่นเดียวกับเหมาเจ๋อตงและเติ้งเสี่ยวผิง สีจิ้นผิงได้เดินหน้าการปรับใช้ลัทธิมาร์กซ์ให้เข้ากับบริบทของจีนและทำให้ลัทธิมาร์กซ์มีความทันสมัยอยู่เสมอ

สีจิ้นผิง : บุรุษผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนบนการเดินทางใหม่

สร้างจีนที่แข็งแรง

หลังจากสงครามฝิ่น ปี 1840 จีนถูกลดสถานะอย่างค่อยเป็นค่อยไปสู่การเป็นสังคมกึ่งอาณานิคมและกึ่งศักดินา ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งและบอบช้ำจากความยากจนและความอ่อนแอ นำไปสู่การก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีนในปี 1921 เพื่อเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ดังกล่าว

สองสัปดาห์หลังจากการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดในพรรคฯ สีจิ้นผิงผลักดัน “ความฝันจีน” ของการฟื้นฟูชาติ และเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ณ กิจกรรมรำลึกการปฏิวัติซินไฮ่ครบรอบ 110 ปี สีจิ้นผิงกล่าวถึง “การฟื้นฟู” จำนวน 25 ครั้ง ในการกล่าวสุนทรพจน์นาน 35 นาที ซึ่งทำให้คำนี้เป็นหนึ่งในสารที่ถูกเน้นย้ำมากที่สุด

สีจิ้นผิงเชื่อว่าการฟื้นฟูจำต้องมีการออกแบบกลยุทธ์และการทำงานหนัก สีจิ้นผิงเป็นผู้นำด้วยการพูดจริงทำจริง โดยนับเฉพาะปี 2019 สีจิ้นผิงเข้าร่วมกิจกรรมสำคัญมากกว่า 500 รายการ กำหนดการเดินทางทำงานของสีจิ้นผิงครอบคลุมวันหยุดสุดสัปดาห์ราว 30 สัปดาห์ในปีนั้น และสีจิ้นผิงร่วมปรับแก้ร่างแผนการปฏิรูปสำคัญแต่ละร่าง

“ความสุขเกิดขึ้นระหว่างการทำงานหนัก” สีจิ้นผิงกล่าว โดยสีจิ้นผิงมักเยือนฟาร์ม หมู่บ้านชาวประมง บ้านเรือนเกษตรกร ร้านอาหารขนาดเล็ก ซูเปอร์มาร์เก็ต โรงงาน ห้องปฏิบัติการ โรงพยาบาล โรงเรียน หรือแม้แต่ตรวจดูเล้าหมูและห้องน้ำในชนบท เพื่อเก็บข้อมูลด้วยตัวเอง

สีจิ้นผิงยืนหยัดเผชิญหน้ากับสารพัดอุปสรรคและวิกฤตตลอดเก้าปีที่ผ่านมา

ช่วงต้นปี 2015 เมื่อเยเมนถดถอยสู่ความสับสนวุ่นวาย สีจิ้นผิงสั่งการกองทัพเรืออพยพชาวจีนที่ติดค้างในเยเมนหลายร้อยคนทันที หรือเมื่อสหรัฐฯ ริเริ่มสงครามการค้ากับจีน สีจิ้นผิงวางกลยุทธ์ว่าจีนไม่ได้ต้องการทำสงครามการค้า แต่ก็มิหวั่นเกรงสงครามดังกล่าว และพร้อมจะต่อสู้สงครามนี้หากจำเป็น

อย่างไรก็ดี สีจิ้นผิงกล่าวว่าการสนทนาและความร่วมมือที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นเป็นตัวเลือกที่ถูกต้องเพียงหนึ่งเดียวของจีนและสหรัฐฯ พร้อมระบุว่า “มหาสมุทรแปซิฟิกอันกว้างใหญ่มีพื้นที่เพียงพอสำหรับสองประเทศใหญ่อย่างจีนและสหรัฐฯ”

นับจากการดำเนินการตรวจตราประจำในน่านน้ำหมู่เกาะเตี้ยวอวี๋ ปัดป้องสิ่งที่เรียกว่าอนุญาโตตุลาการทะเลจีนใต้ แสวงหาวิธีแก้ไขข้อพิพาทพรมแดนจีน-อินเดีย จนถึงอำนวยความสะดวกแก่การกลับมาของชาวจีนที่ถูกจับกุมในต่างประเทศอย่างผิดกฎหมาย สีจิ้นผิงได้เป็นผู้นำการวางกลยุทธ์และยุทธวิธี ตลอดจนเข้าช่วยเหลือเป็นการส่วนตัวหากจำเป็น

เมื่อเกิดความไม่สงบทางสังคมในเขตบริหารพิเศษฮ่องกงในปี 2019 สีจิ้นผิงสั่งการคุ้มครองหลักการ “หนึ่งประเทศ สองระบบ” และปราบปรามความพยายามยุยงปลุกปั่น “การปฏิวัติสี”

ช่วงก่อนเทศกาลตรุษจีน ปี 2020 ขณะการระบาดของโรคโควิด-19 บดบังบรรยากาศแห่งเทศกาล สีจิ้นผิงจัดประชุมคณะผู้นำพรรคฯ เพื่อหารือแผนการรับมือ โดยสีจิ้นผิงตัดสินใจกระชับข้อจำกัดการเดินทางของประชาชน และการเข้าออกหูเป่ยและอู่ฮั่น ซึ่งกาลเวลาพิสูจน์แล้วว่าวิธีการอันเข้มงวดนี้เป็นเพียงตัวเลือกเดียวที่มีประสิทธิผล

“การปกครองประเทศขนาดใหญ่เช่นนี้ถือเป็นความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงและภาระงานอันยากยิ่ง” สีจิ้นผิงกล่าวตอบคำถามจากนักการเมืองต่างชาติ “ผมยินดีเสียสละและอุทิศตนเพื่อการพัฒนาของจีน ผมจะไม่ทำให้ประชาชนผิดหวัง”

สีจิ้นผิง : บุรุษผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนบนการเดินทางใหม่

กรุยเส้นทางใหม่แห่งการปฏิรูป

สีจิ้นผิงออกแบบการสร้างความทันสมัยแบบจีนที่มีวิถีการพัฒนาที่สร้างสรรค์สิ่งใหม่ สอดประสาน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเปิดกว้างเพื่อทุกคน

เหล่านักสังเกตการณ์เผยว่าวิสัยทัศน์การพัฒนานี้มุ่งนำสังคมนิยมจีนออกจากกับดักการพัฒนาที่พึ่งพาการเติบโตอันไร้ประสิทธิภาพ ไร้ขอบเขต และทำลายระบบนิเวศ ขยับทิศทางของประเทศสู่การพัฒนาคุณภาพสูง และหลีกเลี่ยงสถานการณ์คนรวยยิ่งรวย คนจนยิ่งจน

การปฏิรูปที่นำโดยสีจิ้นผิงได้เข้าถึงแวดวงต่างๆ นโยบายการใช้ที่ดิน การสร้างพรรคฯ ในรัฐวิสาหกิจ กระบวนการยุติธรรม การวางแผนครอบครัว นโยบายการคลังและภาษี ตลาดอสังหาริมทรัพย์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการต่อต้านการผูกขาด

หนึ่งมาตรการปฏิรูปที่โดดเด่นคือการสร้างความทันสมัยขององค์กรต่างๆ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการพัฒนาและเสถียรภาพในระยะยาวของจีน โดยแก่นสำคัญของมาตรการปฏิรูปนี้คือการยึดมั่นและปรับปรุงสังคมนิยมอันมีอัตลักษณ์จีน และสร้างระบบและศักยภาพการบริหารปกครองที่ทันสมัย

บางครั้งที่การปฏิรูปเผชิญอุปสรรคใหญ่ บางคราวที่ต้องแก้ไขความขัดแย้งและขจัดสิ่งกีดขวาง สีจิ้นผิงจำเป็นต้องตัดสินใจชี้ขาดด้วยตัวเอง

การปฏิรูปช่วยเปิดประเทศจีนยิ่งขึ้น โดยปี 2013 จีนจัดตั้งเขตการค้าเสรีนำร่องแห่งแรกในเซี่ยงไฮ้ ขณะปัจจุบันจำนวนเขตการค้าเสรีดังกล่าวสูงถึง 21 แห่ง ซึ่งหนึ่งในนั้นครอบคลุมทั้งเกาะไห่หนาน (ไหหลำ) ที่มีขนาดราวประเทศเล็กๆ ในยุโรป ส่วนรายการข้อจำกัดการลงทุนจากต่างชาติของจีนถูกลดทอนลงเช่นกัน

ยามที่บางประเทศเลือกตั้งกำแพงการค้า จีนเลือกจัดงานมหกรรมการค้าและการลงทุนระดับโลกมากมาย โดยสีจิ้นผิงได้ริเริ่มงานมหกรรมสินค้านำเข้านานาชาติจีน (CIIE) เป็นการส่วนตัว ซึ่งเป็นหนึ่งในงานมหกรรมระดับชาติที่มีความหลากหลายของประเทศ

ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของจีนระหว่างปี 2013-2020 เติบโตเฉลี่ยกว่าร้อยละ 6.4 ต่อปี ซึ่งมีส่วนส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจโลกเฉลี่ยมากกว่าร้อยละ 30 ต่อปีเป็นเวลาติดต่อกันหลายปี โดยจีดีพีของจีนสูงเกินเกณฑ์หนึ่งร้อยล้านล้านหยวนในปี 2020 หรือคิดเป็นราว 7 ใน 10 ของจีดีพีสหรัฐฯ

หลิวหรงกาง นักวิจัยประจำสถาบันประวัติศาสตร์และวรรณกรรมพรรคแห่งคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน กล่าวว่านับจนถึงปัจจุบัน ความสำเร็จอันน่าประทับใจมากที่สุดในยุคใหม่คือการบรรลุ “เป้าหมายแห่งศตวรรษแรก” อันหมายถึงการสร้างสังคมมั่งคั่งปานกลางในทุกด้าน

จีนนั้นมีระบบประกันสังคมครอบคลุมวงกว้างมากที่สุดในโลก และกลุ่มชนชั้นรายได้ปานกลางขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ขณะเดียวกันจีนสามารถยุติความยากจนขั้นรุนแรง (extreme poverty) ได้ในท้ายที่สุดด้วย

ช่วงเก้าปีที่ผ่านมา มีประชาชนจีนหลุดพ้นจากความยากจนขั้นรุนแรงราว 100 ล้านคน โดยสีจิ้นผิงสั่งสมาชิกพรรคฯ และเจ้าหน้าที่รัฐประจำการที่หมู่บ้านยากไร้เพื่อดำเนินมาตรการบรรเทาความยากจนแบบพุ่งเป้าที่หน้างานจริง

ตัวสีจิ้นผิงเองเดินทางเยือนพื้นที่ยากจนที่สุดที่อยู่ติดกันทั้ง 14 แห่งของประเทศ ขณะการขจัดความยากจนขั้นรุนแรงถูกยกเป็นการทำสงครามครั้งสำคัญ ซึ่งมีวีรบุรุษผู้เสียชีวิตระหว่างการปฏิบัติหน้าที่มากกว่า 1,800 คน

ปี 2021 จีนครองอันดับ 12 ในดัชนีนวัตกรรมโลก (Global Innovation Index) สูงกว่าญี่ปุ่น อิสราเอล และแคนาดา รวมถึงเป็นผู้รับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศอันดับหนึ่ง และตลาดผู้บริโภคเบอร์หนึ่งของโลก

นอกจากนั้นสีจิ้นผิงยังปฏิรูปกองทัพอย่างรอบด้าน เน้นย้ำหลักการของเหมาเจ๋อตงที่ว่า “พรรคฯ ควบคุมปืน” ริเริ่มการปฏิรูปต่างๆ ในระบบการนำและบัญชาการ ขนาด โครงสร้าง และองค์ประกอบของกองทัพ ตลอดจนสั่งการกองทัพพร้อมสู้รบอยู่เสมอ

สีจิ้นผิง : บุรุษผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนบนการเดินทางใหม่

มีส่วนส่งเสริมประชาคมโลก

สีจิ้นผิงนั้นมุ่งมั่นนำพาจีนมีส่วนร่วมและส่วนส่งเสริมประชาคมโลก โดยก่อนเกิดการระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 สีจิ้นผิงได้เยือน 69 ประเทศในการเดินทาง 41 ครั้ง และเป็นผู้นำจีนคนแรกที่เข้าร่วมการประชุมเศรษฐกิจโลกในเมืองดาวอสของสวิตเซอร์แลนด์

การเดินทางเยือนต่างประเทศของสีจิ้นผิงมักอัดแน่นด้วยกำหนดการต่างๆ และใช้เวลาจนถึงดึกดื่นเลยเที่ยงคืน โดยสีจิ้นผิงยังเคยใช้เวลาวันคล้ายวันเกิดของตัวเองกับการเดินทางเยือนต่างประเทศด้วย สีจิ้นผิงกล่าวว่าเวลาที่หมดไปกับการเยือนนานาประเทศอาจดู “ฟุ่มเฟือย” แต่ก็ “คุ้มค่า”

อัลไต แอตลิ นักวิชาการในนครอิสตันบูลของตุรกี ชี้ว่าภายใต้การนำของสีจิ้นผิง การมีส่วนร่วมของจีนในกิจการระหว่างประเทศ ทั้งด้านเศรษฐกิจและการทูต เกิดการเปลี่ยนแปลง และโลกกำลังจับตาดูการผงาดของประเทศใหญ่ที่มีอิทธิพลระดับโลกแห่งนี้

ปี 2013 สีจิ้นผิงนำเสนอแนวคิด “การสร้างประชาคมมนุษยชาติที่มีอนาคตร่วมกัน” สีจิ้นผิงอธิบายว่าประชาคมระหว่างประเทศควรส่งเสริมการเป็นหุ้นส่วน ความมั่นคง การเติบโต การแลกเปลี่ยนระหว่างอารยธรรม และการสร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่ง โดยอ้างอิงสุภาษิตที่ว่า “ผลประโยชน์ที่ดีควรเป็นผลประโยชน์ของทุกฝ่าย”

ด้วยแนวคิดข้างต้น สีจิ้นผิงนำเสนอวิถีทางใหม่ของการประสานสายสัมพันธ์ระหว่างประเทศบนพื้นฐานความร่วมมือที่ได้ประโยชน์ร่วมกันและหลักการบรรลุการเติบโตร่วมกันผ่านการเจรจาหารือและการทำงานร่วมกันในธรรมาภิบาลโลก

“ระเบียบระหว่างประเทศและระบบธรรมาภิบาลใดที่เหมาะสมกับโลกและประชาชนของทุกประเทศมากที่สุด? สิ่งนี้ควรถูกตัดสินใจร่วมกันโดยทุกประเทศผ่านการปรึกษาหารือ มิใช่โดยประเทศใดประเทศหนึ่งหรือเพียงไม่กี่ประเทศ” สีจิ้นผิงกล่าว

สีจิ้นผิงยังสนับสนุนหลักการเดียวกันนี้ในกรอบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศขนาดใหญ่ ซึ่งมีเสถียรภาพโดยรวมและการพัฒนาสมดุล โดยสีจิ้นผิงเน้นย้ำในหลายโอกาสว่าหากประเทศต่างๆ รักษาการติดต่อสื่อสารและปฏิบัติต่อกันอย่างจริงใจ ย่อมสามารถหลีกเลี่ยง “กับดักธูซิดิดิส” (Thucydides trap) ได้

ในปีที่ชักชวนโลกร่วมสร้างประชาคมมนุษยชาติที่มีอนาคตร่วมกันครั้งแรก สีจิ้นผิงยังเสนอแผนริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (BRI) ซึ่งปัจจุบันมี 172 ประเทศและองค์กรระหว่างประเทศลงนามเอกสารความร่วมมือกับจีนภายใต้กรอบแผนริเริ่มฯ มากกว่า 200 ฉบับ เมื่อนับถึงเดือนสิงหาคม 2021

รายงานจากธนาคารโลกระบุว่าโครงการต่างๆ ตามแผนริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางสามารถช่วยเหลือประชาชนทั่วโลกหลุดพ้นจากความยากจนขั้นรุนแรง 7.6 ล้านคน และหลุดพ้นจากความยากจนขั้นปานกลาง 32 ล้านคน

อย่างไรก็ดี การพัฒนาระดับโลกมิควรส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ประเด็นนี้สีจิ้นผิงได้ส่งสัญญาณความตั้งใจอันแน่วแน่สู่ทั่วโลกในปี 2020 ว่าจีนจะปล่อยคาร์บอนแตะจุดสูงสุดก่อนปี 2030 และบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนก่อนปี 2060

“โลกควรขอบคุณจีนที่มีส่วนส่งเสริมการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” เควิน รัดด์ อดีตนายกรัฐมนตรีออสเตรเลียกล่าว

ขณะที่เมื่อเกิดการระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 สีจิ้นผิงเรียกร้องความสามัคคีและความร่วมมือระดับโลก โดยจีนได้จัดสรรอุปกรณ์ต้านเชื้อไวรัสให้กว่า 150 ประเทศและ 14 องค์กรระหว่างประเทศ รวมถึงจัดส่งทีมบุคลากรการแพทย์ 37 ทีม ไปยัง 34 ประเทศด้วย

สีจิ้นผิงเผยคำมั่นว่าจะทำให้วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของจีนเป็นสินค้าสาธารณะของโลก และคำสัญญาว่าจีนจะจัดสรรวัคซีนแก่ทั่วโลก จำนวน 2 พันล้านโดส ภายในปีนี้

ช่วงหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา “จีน” ประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก ได้เดินทางมาไกลอย่างน่าเหลือเชื่อ จากประเทศที่ติดกับดักความยากจนสู่ประเทศที่สามารถตอบสนองความต้องการพื้นฐานของประชาชน จนถึงปัจจุบันเป็นประเทศที่มีความมั่งคั่งปานกลาง ซึ่งสีจิ้นผิงถือว่าความสำเร็จนี้มีส่วนส่งเสริมมนุษยชาติ

มาเรีย เฟอร์นันดา เอสปิโนซา การ์เซส ประธานการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ครั้งที่ 73 ยกย่องสีจิ้นผิงเป็น “กัปตันผู้ช่ำชอง” ที่สร้างคุณูปการสำคัญอย่างการสนับสนุนลัทธิพหุภาคี แผนริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง และแนวคิดประชาคมมนุษยชาติที่มีอนาคตร่วมกัน

สีจิ้นผิง : บุรุษผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนบนการเดินทางใหม่

บรรลุภารกิจใหม่

พรรคคอมมิวนิสต์จีนวางแผนบรรลุการฟื้นฟูชาติผ่านเป้าหมายสองประการ หรือที่รู้จักกันว่า “เป้าหมายร้อยปีสองประการ”

ช่วงเก้าปีที่ผ่านมา สีจิ้นผิงในฐานะผู้นำอาวุโสสูงสุดของพรรคฯ ได้นำพาประเทศบรรลุขั้นแรกสำเร็จ และเป็นประธานการออกแบบขั้นที่สองของแผนการประวัติศาสตร์นี้

เป้าหมายแรก จีนควรบรรลุการสร้างสังคมนิยมอันทันสมัยขั้นพื้นฐานภายในปี 2035 ส่วนเป้าหมายที่สอง จีนควรเป็นประเทศสังคมนิยมอันทันสมัยที่มั่งคั่ง แข็งแกร่ง เป็นประชาธิปไตย ก้าวหน้าทางวัฒนธรรม สามัคคีปรองดอง และสวยงามภายในกลางศตวรรษที่ 21 ซึ่งจะตรงกับวาระสาธารณรัฐประชาชนจีนก่อตั้งครบร้อยปี

แนวทางเสริมได้สนับสนุนเป้าหมายอันครอบคลุมข้างต้น สีจิ้นผิงได้ชี้นำการร่างข้อเสนอของคณะผู้นำพรรคฯ สำหรับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระยะ 5 ปี ฉบับที่ 14 (2021-2025) และเป้าหมายระยะยาวจนถึงปี 2035 (Long-Range Objectives Through the Year 2035) ซึ่งได้รับการรับรองในเดือนตุลาคม 2020

“การบรรลุความฝันอันยิ่งใหญ่นี้ต้องการความพยายามอันใหญ่ยิ่ง” สีจิ้นผิงกล่าว

ดังนั้น การประชุมเต็มคณะครั้งที่ 6 ของคณะกรรมการกลางพรรคฯ ชุดที่ 19 ในเดือนพฤศจิกายน จึงเกิดขึ้นในห้วงเวลาสำคัญ เพื่อหารือปณิธานแห่งความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ และประสบการณ์แห่งประวัติศาสตร์หนึ่งร้อยปีของพรรคฯ

“การดิ้นรนต่อสู้ตลอดหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา พรรคฯ ได้สั่งสมประสบการณ์มากมาย ทำความเข้าใจกฎเกณฑ์สำคัญ พัฒนาทฤษฎีการปกครอง และตักตวงปัญญาความรู้ สมบัติล้ำค่านี้ควรถูกสรุปรวมเพื่อเป็นแรงบันดาลใจสู่การปกครองที่ดียิ่งขึ้นของพรรคฯ” หานชิ่งเสียงกล่าว

คำว่าประวัติศาสตร์กลายเป็นคำนิยมของเหล่าสมาชิกพรรคฯ ในปีนี้ ขณะโครงการการศึกษาวงกว้างช่วยเจ้าหน้าที่พรรคฯ รับรู้ประวัติศาสตร์ของพรรคฯ และมีการเปิดพิพิธภัณฑ์พรรคฯ แห่งใหม่ ซึ่งสีและคณะผู้นำได้เดินทางเยือนและชมนิทรรศการที่อธิบายว่าพรรคฯ นำพาจีนอย่างไร เมื่อวันที่ 18 มิ.ย.

ทั้งนี้ สีจิ้นผิงและคณะผู้นำได้กล่าวคำปฏิญาณต่อหน้าธงพรรคฯ หลังจากเสร็จสิ้นการเยี่ยมชมนิทรรศการ ซึ่งเป็นการรื้อฟื้นพิธีการที่ปฏิบัติโดยสมาชิกใหม่ของพรรคฯ ทุกคน

“ข้าพเจ้าจะต่อสู้เพื่อพรรคคอมมิวนิสต์ตลอดชีวิตที่เหลือ”

เนื้อหาบทความจากความร่วมมือกับสำนักข่าวซินหัว