posttoday

3 ช็อตยังเอาไม่อยู่? อิสราเอลพบผู้ติดเชื้อหลังฉีดบูสเตอร์แล้ว

15 สิงหาคม 2564

อิสราเอลที่เคยเป็นความหวังในการควบคุมวัคซีนด้วยการเร่งฉีดให้ครอบคลุม ตอนนี้กลายเป็นตัวอย่างที่น่ากังวลของความร้ายกาจจากเชื้อเดลตา

สำนักข่าว Precision Vaccinations รายงานว่า อัตราการติดเชื้อทั้งๆ ที่รับวัคซีนแล้วในอิสราเอลมีถึง 50% โดยตามข้อมูลโควิด-19 ของกระทรวงสาธารณสุขของอิสราเอล เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2564 จำนวนผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่ร้ายแรงมีถึง 405 ราย (ตัวเลขวันที่ 10 สิงหาคม) ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดในหนึ่งวันนับตั้งแต่เดือนมีนาคม พ.ศ. 2564

แต่สิ่งที่น่าสนใจในตัวเลขนี้ก็คือผู้ป่วยเหล่านี้ประมาณ 250 รายได้รับการฉีดวัคซีนอย่างครบถ้วนแล้วการติดเชื้่อของคนเหล่านี้ ซึ่งเรียกว่า 'breakthrough case' หรือเคสที่เชื้อไวรัสตีด่านวัคซีนแตก หซึ่งคิดเปฌนสัดส่วนถึง 50%

นอกจากนี้ The Timeof Israel ยังรายงานเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ชาวอิสราเอล 14 คนได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อแม้จะได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันเป็นครั้งที่สามแล้วก็ตาม ตามข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขและรายงานโดย Channel 12 ของอิสราเอล และจากรายงานข่าว พบว่าผู้ติดเชื้อ 2 รายหลังจากได้รับการฉีดบูสเตอร์แล้วยังมีอาการหนักจนถูกนำส่งโรงพยาบาลด้วย

อย่างไรก็ตาม จากรายงานในขณะนั้น The Timeof Israel ชี้ว่าไม่ชัดเจนในทันทีว่า 14 คนติดไวรัสก่อนหรือหลังได้รับบูสเตอร์ และเคสที่เกิดขึ้นประปรายแบบนี้ยังไม่เพียงพอสำหรับเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ที่จะสรุปผลเกี่ยวกับประสิทธิภาพโดยทั่วไปของวัคซีนช็อตที่ 3 ในการต่อสู้กับโรคเดลต้า

อย่างไรก็ตาม Haaretz สื่อของอิสราเอลอีกรายยังรายงานเมื่อวันที่ 14 สิงหาคมว่า รัฐบาลคาดการณ์ว่าจำนวนผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจากการคิดเชื้อโควิด-19 จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทุกๆ 10 วัน โดยอยู่ที่ 4,800 คน ภายในวันที่ 10 กันยายน ครึ่งหนึ่งเป็นผู้ป่วยร้ายแรง

ตามตัวเลขของกระทรวงสาธารณสุข จำนวนผู้ป่วยโควิดที่ร้ายแรงในวันพุธเพิ่มขึ้นเป็น 400 ราย ซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุดนับตั้งแต่มีนาคม ผู้ป่วยประมาณ 150 รายไม่ได้รับการฉีดวัคซีนครบถ้วน

แม้จะมี breakthrough case แต่ Haaretz ชี้ว่าวัคซีน Pfizer นั้นได้ผลโดยผู้ที่ฉีดวัคซีนจะมีความต้านทานต่อโรคโควิด-19 มากกว่าผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีน 5-10 เท่า และ ผู้สูงอายุที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนมีโอกาสติดเชื้อรุนแรงมากกว่าผู้ที่ได้รับวัคซีนถึง 5 เท่า

Photo by MENAHEM KAHANA / AFP