posttoday

เมื่อสหรัฐทอดทิ้งเบี้ยอัฟกานิสถาน เพื่อวางหมากอาเซียนรุกจีน

02 สิงหาคม 2564

การเดินทางมายังอาเซียนแบบรัวๆ ของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐมีนัยอะไรหรือไม่ และอาเซียนจะมุ่งไปทางไหน?

มี 2 เรื่องที่ไม่น่าจะเกี่ยวกันแต่ก็เกี่ยวกัน 1. สหรัฐถอนกำลังทหารออกจากอัฟกานิสถาน 2. สหรัฐเริ่มหันมาจีบอาเซียนอีกครั้ง

เรื่องแรกอย่างที่รู้กันว่าสหรัฐและพันธมิตรถอนกำลงเกือบจะเหี้ยนออกจากอัฟกานิสถาน สบโอกาสที่พวกตอลิบานรุกคืบยึดพื้นที่ไปได้มาก แม้สหรัฐจะเหลือทหารเอาไว้ช่วยยันเล็กน้อยแต่มันไม่น่าจะช่วยอะไรได้มากนัก ตอลิบานเปิดฉากรุกเมืองใหญ่ททั่วประเทศ

ประธานาธิบดีอัชราฟ ฆานีกล่าวโทษสถานการณ์ความมั่นคงที่เสื่อมถอยอย่างรวดเร็วของอัฟกานิสถาน ว่าเป็นการตัดสินใจที่ “กะทันหัน” ของสหรัฐที่จะถอนทหารออกไป แต่ก็ยังกัดฟันบอกว่ารัฐบาลของเขามีแผนที่ทีจะคุมสถานการณ์ให้ได้ภายใน 6 เดือน

เรื่องของอัฟกานิสถานเหมือนจะไกลตัว แต่จริงแล้วถ้ามองเกมแบบทั้งกระดานจะรู้ว่ามันใกล้ตัวเราเอามากๆ เพียงแค่อัฟกานิสถานเป็นหมากไกลตาแต่หากเดินผิดจะกระทบมายังเอเชียทั้งยวง

นี่เองที่ทำให้มันเกี่ยวกับข้อที่ 2 คือ สหรัฐเริ่มหันมาจีบอาเซียนอีกครั้งและลดความสำคัญของอัฟกานิสถานแบบไม่แยแสเอาเลย

อัฟกานิสถานหมดความสำคัญสำหรับสหรัฐแล้ว เพราะโอซามา บิน ลาเดนก็ตายไปตั้งสิบกว่าปีแล้ว ทั้งอัลกออิดะฮ์และกลุ่มรัฐอิสลามก็อ่อนแอลงมากทั้งยังไปเคลื่อนไหวที่แถบซาเฮลมากกว่า ไม่มีเหตุผลอะไรอีกที่สหรัฐจะรั้งตัวเองไว้ที่นี่ แม้พวกตอลิบานจะกุมอำนาจอีกครั้ง แต่ก็ไม่ใช่ภัยร้ายแรงเฉพาะหน้าอีก และยิ่งไม่ใช่เรื่องของสหรัฐอีกต่อไป

หากมองเป็นกระดานหมากรุก ตอนนี้สหรัฐยังทิ้งหมากอัฟกานิสถานให้จีนละล้าละลัง จีนแสดงท่าทีชัดเจนโดยเรียกร้องให้ตอลิบานตัดขาดความสัมพันธ์กับ "กลุ่มก่อการร้าย" ทั้งหมด ซึ่งหมายถึงขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่ซินเจียง (แม้ว่าจีนจะหารือกับตอลิบานบ่อยครั้ง แต่กลุ่มนี้ก็ยังไม่น่าไว้ใจสำหรับจีนที่กังวลเรื่องอิทธิพลของกลุ่มหัวรุนแรงที่ซินเจียง) ในเวลานี้สหรัฐหันไปเดินหมากที่รุกฆาตกับจีนได้ง่ายกว่า นั่นคืออาเซียน

ในระยะ 20 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุชเปิดฉากสงครามต่อต้านการก่อการร้าย สงครามอัฟกานิสถาน และสงครามอิรัก พลังทั้งหมดของสหรัฐถูกโยกไปยังพื้นที่เหล่านี้ สหรัฐไม่ได้มองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ แม้จีนเริ่มปีกกล้าขาแข็งสหรัฐก็ยังไม่เพ่งเล็งแบบเอาเป็นเอาตาย จนกระทั่งเมื่อเร็วๆ นี้ สหรัฐถึงเริ่มเปลี่ยนยุทธศาสตร์ใหม่

อาเซียนนั้นถูกสหรัฐมองข้ามไปหลายปี เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐไม่ได้เข้าร่วมการประชุมของอาเซียนเสมอไป และบางครั้งก็ส่งเจ้าหน้าที่ระดับรองลงมาเข้าร่วมการประชุมสุดยอดของภูมิภาคนี้ด้วย

ถึงขนาดขาดการประชุมสำคัญๆ รวมถึงการหารือยุทธศาสตร์ไทย–สหรัฐอเมริกาก็ยังทิ้งช่วงไปหลายปี

จนกระทั่งไบเดนเข้ามา การหารือยุทธศาสตร์ไทย–สหรัฐอเมริกา ครั้งที่ 7 ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง (เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2564) แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐก็ยังรีบเร่งหารือกับอาเซียนในเวลาไล่เลี่ยกันคือวันที่ 25 พฤษภาคม นับป็นฉากใหม่ของการปรับยุทธศาสตร์สหรัฐที่หันเข้าอาเซียน

แต่การประชุมออนไลน์ระหว่างบลิงเคนครั้งแรกในตอนนั้นเปิดฉากไม่สวยนัก เพราะประชุมผ่านระบบออนไลน์โดยที่บลิงเคนรีบเดินทางยังเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอลเพื่อไกล่เกลี่ยเรื่องความรุนแรงระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์

ปรากฏว่าสัญญาณการประชุมขาดหาย ฝ่ายผู้แทนของอาเซียนประเทศต่างๆ ต้องรอนานถึง 45 นาที จนบางคนหัวเสีย นั่นคือ เร็ตโน มาร์ซูดี รัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย ที่ไม่พอใจมากจนไม่ยอมเปิดวิดีโอฟีดระหว่างการประชุม

ความขัดข้องนั้นทำให้เกิดคำถามว่าสหรัฐจริงจังกับอาเซียนแค่ไหนหรือเห็นเป็นแค่เบี้ยหมากตัวเล็กๆ ในเกมการเมืองโลก? แม้เจ้าหน้าที่สหรัฐจะยืนยันว่าไม่ได้ตั้งใจเมินอาเซียน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่าอาเซียนเป็นแค่ตัวสำรอง เพราะบลิงเคนหารือในเวลาว่างระหว่างไปทำงานที่ใหญ่กว่าที่ตะวันออกกลาง และยังไม่เตรียมระบบให้เรียบร้อยเหมือนกับว่าถ้าระบบล่มก็ได้หนักหนาสาหัสอะไร

ถึงสหรัฐจะไม่ได้ตั้งใจแต่เปิดตัวกันแบบนี้ยิ่งทำให้อาเซียนคิดว่าสหรัฐคบไม่ได้

และบางประเทศยิ่งอาจเชื่อว่าสหรัฐต้องการอาเซียนเพื่อคานอำนาจจีน มากกว่าอาเซียนต้องการสหรัฐมาคานอำนาจจีน ดังนั้นหากสหรัฐต้องการอาเซียนจริงๆ ต้องแสดงออกอย่างจริงใจกว่านี้

สหรัฐเริ่มแก้ตัวด้วยการรีบส่งวัคซีน mRNA มาให้หลายประเทศในอาเซียนรวมถึงไทย และในสัปดาห์นี้ แอนโทนีบลิงเคนจะแก้ตัวอีกครั้ง ด้วยการนั่งประชุมออนไลน์กับประเทศสมาชิกอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง คือไทย เมียนมา ลาว กัมพูชา เวียดนาม เพื่อที่จะย้ำว่าภูมิภาคนี้มีความสำคัญอันดับต้นๆ สำหรับสหรัฐ

นี่เป็นการเปลี่ยนท่าทีที่สำคัญมาก อย่างแรก มันเป็นการแก้ตัวสำหรับบลิงเคนหลังจากหักหน้าอาเซียนไป คราวนี้เขาเริ่มต้นแก้ไขกับกลุ่มที่สหรัฐคุ้นเคยมากกว่าก่อน นั่นคือภูมิภาคเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นแผ่นดินใหญ่หรืออินโดจีน ซึ่งสหรัฐเข้ามาพัวพันด้วยมากที่สุดในยุคสงครามเย็น

ตอนนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นยุคสงครามเย็นใหม่แล้ว และสหรัฐยิ่งต้องการแผ่นดินใหญ่อาเซียนเหมือนเมื่อ 40 - 50 ปีที่แล้วอีกครั้ง เป้าหมายคือใช้พื้นที่นี่ "ทะลวงฟันจีน"

หนึ่งในหัวใจของการรุกคืบคือ "แม่น้ำโขง" ซึ่งเป็นประเด็นบาดหมางระหว่างประเทศท้ายน้ำกับประเทศต้นน้ำ (จีน) มาโดยตลอด แต่กว่าที่สหรัฐจะมองเห็นรอยแผลของจีนในจุดนี้ก็เมื่อปีที่แล้ว โดยจัดตั้งหน่วยงานสังเกตการณ์เขื่อนแม่น้ำโขงเพื่อช่วยประเทศท้ายน้ำรับทราบว่าจีนกำลังทำอะไรกับต้นน้ำ

เป็นการแทรกตัวเข้ามาระหว่างความบาดหมางเพื่อใช้ประโยชน์นั่นเอง คล้ายๆ กับที่สหรัฐแข็งกร้าวกับจีนในกรณีพิพาททะเลจีนใต้โดยแทรกเข้ามาระหว่างความขัดแย้งของภูมิภาคเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นสมุทรที่แย่งชิงน่านน้ำและเกาะต่างๆ กับจีน

ดูเหมือนว่าสหรัฐกำลังใช้ "น้ำ" คือน้ำโขงและน้ำทะเลจีนใต้เพื่อสยบ "มังกรไฟ" อย่างจีนซะแล้ว

สหรัฐจึงรุกคืบเข้าอาเซียนทุกทาง แม้ว่าบลิงเคนจะเพิ่มกลับมาแก้ตัวในสัปดาห์นี้ แต่ที่จริงแล้ว มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐที่ไม่พลาดอย่างบลิงเคน แวะเข้ามาอาเซียนอย่างต่อเนื่องจนผิดปกติมากๆ หากจะพิจารณาว่าก่อนหน้านี้สหรัฐไม่ได้แยแสอาเซียนขนาดนี้เลย

เริ่มจากเวนดี เชอร์แมน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศมาเยือนอินโดนีเซีย กัมพูชา และไทยในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ไปเวียดนามและฟิลิปปินส์ในสัปดาห์นี้ และรองประธานาธิบดี กมาลา แฮร์ริส จะไปเยือนสิงคโปร์และเวียดนาม

ที่น่าสนใจคือระดับวีไอพีเหล่านี้มาเยือนด้วยตัวเอง แม้แต่กมลา แฮร์ริสก็ยังมาด้วยตัวเอง แต่กรณีของบลิงเคนยังเป็นการประชุมออนไลน์ เราจะเป็นได้ว่าน้ำหนักไปอยู่ที่ประเทศอาเซียนแถบภาคพื้นที่สมุทร ส่วนภาคพื้นแผ่นดินใหญ่แม้จะสำคัญและมีช่องโหว่ของจีนที่แม่น้ำโขง แต่จุดนั้นเป็นแค่จุดอ่อนไม่ใช่จุดตายเหมือนภาคพื้นที่สมุทรที่ทะเลาะกันที่น่านน้ำทะเลจีนใต้

โปรดสังเกตว่าเวียดนามเป็นจุดหมายปลายทางที่วีไอพีจากรัฐบาลสหรัฐไปเยือนบ่อยเป็นพิเศษ เพราะเวียดนามแข็งกร้าวกับจีนเป็นพิเศษ แต่ในระยะหลังรัฐบาลเวียดนามเริ่มคุยกับจีนดีขึ้นและร่วมมือกันมากขึ้น ไม่แน่ว่าสหรัฐอาจต้องเร่งแยกเวียดนามออกจากจีนก่อนที่จะหันมาญาติดีกัน

นี่เอง กมลา แฮร์ริสถึงต้องมาทัวร์เวียดนามด้วยตัวเองและยังสร้างประวัติศาสตร์เป็นรองประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐที่มาเยือนเวียดนาม

ถามว่าสิงคโปร์สำคัญอย่างไร? สหรัฐต้องการใช้สิงคโปร์เป็นจุดยุทธศาสตร์ด้านโลจิสติกในภูมิภาคเพื่อที่จะต่อกรกับจีน แต่ความปรารถนานี้ไม่ง่ายเลย แม้ว่าสิงคโปร์จะสนิทแนบแน่นกับสหรัฐในด้านการทหาร (คล้ายๆ กับไทย) แต่ตอนนี้สิงคโปร์ยังต้องถ่วงดุลอย่างละเอียดถี่ถ้วนระหว่างสหรัฐกับจีน (คล้ายกับไทยอีกเช่นกัน)

สิงคโปร์มีข้อตกลงกับสหรัฐตั้งแต่ปี 1990 ซึ่งอนุญาตให้สหรัฐใช้โครงสร้างทางการทหารของสิงคโปร์ได้และสัญญานี้เพิ่งต่ออายุไปเมื่อปี 2019

มีรายงานจาก Today สื่อของสิงคโปร์ว่าภายใต้ข้อตกลงนี้ สหรัฐสามารถใช้ฐานทัพเซมบาวังเพื่อให้การสนับสนุนด้านลอจิสติกส์สำหรับการขนส่งเครื่องบินและเรือของกองทัพสหรัฐ มีการเพิ่มบทบัญญัติอื่นในข้อตกลงในปี 1998 ซึ่งอนุญาตให้เรือทหารสหรัฐมาเทียบท่าที่ฐานทัพเรือชางงีได้ด้วย

ทำไมสิงคโปร์ที่พยายามถ่วงดุลระหว่างสหรัฐกับจีนถึงยอมให้สหรัฐใช้ฐานทัพได้? คำตอบอยู่ที่การถ่วงดุลนั่นเอง ดร.โมฮัมหมัด มาลิกิ ออสมัน รัฐมนตรีอาวุโสกระทรวงการต่างประเทศของสิงคโปร์ผู้ต่อสัญญาด้านการทหารกับสหรัฐบอกเองว่าสหรัฐคือกำลังหลักในการสร้างดุลยภาพในภูมิภาค

นี่เป็นสิ่งที่อาเซียนหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าจะพยายามอยู่อย่างสงบๆ แต่พราะพัวพันกับความขัดแย้งเรื่อง "น้ำ" ในจุดต่างๆ ทำให้ต้องยืมดาบของมหาอำนาจอื่นเข้ามาช่วยคานจีน ขณะเดียวกันก็พยายามโอ้โลมจีนในเรื่องการค้ากับความช่วยเหลือต่างๆ ซึ่งจีนก็ยังพอใจในจุดนี้

แต่มันเป็นเกมที่อันตรายในระยะยาวที่หากพลาดพลั้งไปอาจเจ็บตัวเอาง่ายๆ ซึ่งสิงคโปร์ เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์กำลังเล่นเกมนี้อยู่ โดยที่มาเลเซียยังสงวนท่าทีอย่างระแวดระวังที่สุด

ที่น่าสนใจก็คือการเยือนสิงคโปร์ของกมลา แฮร์ริสครั้งนี้เยือนสิงคโปร์ตามคำเชิญของนายกรัฐมนตรีลีเซียนลุงด้วยซ้ำ จะพบปะกับผู้นำสิงคโปร์และหารือถึงวิธีการกระชับความร่วมมือทวิภาคีในหลายด้าน รวมถึงการป้องกัน/ความมั่นคง ความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ และการค้าดิจิทัล

แม้สิงคโปร์จะเล่มเกมอันตรายเหมือนเพื่อนบ้านและถึงกับเชิญแฮร์ริสมา แต่มันไม่ใช่การเลือกข้าง สิงคโปร์พยายามเป็นกลางอย่างที่สุด สิ่งที่ดูเหมือนจะเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งแท้จริงก็คือการถ่วงดุลอย่างรอบคอบเท่านั้นและครั้งนี้ก็เช่นกันสิงคโปร์จะไม่ยอมเลือกฝักฝ่ายอย่างชัดเจน

อาเซียนรวมถึงไทยก็ควรทำแบบเดียวกัน

กรกิจ ดิษฐาน 

Photo by SAUL LOEB / AFP