"ย้ายประเทศกันเถอะ" ถอดบทเรียนฮ่องกงเผ่นหนีรัฐบาล
เมื่อคนรุ่นใหม่ไม่ทนจึงหาหนทางย้ายออกจากประเทศบ้านเกิด
จากปรากฏการณ์ "ย้ายประเทศกันเถอะ" กลุ่มเฟซบุ๊กที่มีสมาชิกกว่าครึ่งล้านหลังสร้างขึ้นมาได้เพียงไม่กี่วันอาจสะท้อนให้เห็นอะไรหลายอย่างที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คนรุ่นใหม่เกิดแนวคิดดังกล่าว
โดยเมื่อปี 2019 นับตั้งแต่เกิดการประท้วงต่อต้านรัฐบาลในฮ่องกงก็มีชาวฮ่องกงจำนวนไม่น้อยที่พากันย้ายถิ่นฐานออกจากบ้านเกิด โดย Youth I.D.E.A.S. ศูนย์วิจัยเพื่อขับเคลื่อนการสร้างข้อเสนอเชิงนโยบายในฮ่องกงเผยว่า "ฮ่องกงอาจเข้าสู่ภาวะสมองไหลภายใน 5 ปี"
หลังผลสำรวจแสดงให้เห็นว่าเกือบ 1 ใน 4 ของแรงงานฮ่องกงอายุต่ำกว่า 35 ปีอยากย้ายไปทำงานต่างประเทศ โดยกว่า 15% ระบุว่าไม่มีแผนที่จะกลับฮ่องกงหากได้งานทำที่ต่างประเทศ โดยพวกเขามี 3 เหตุผลหลักคือต้องการชีวิตการทำงานที่สมดุลมากขึ้น ต่างประเทศมีแผนเปิดรับคนฮ่องกง รวมถึงต้องการเสถียรภาพทางสังคมและการเมือง
ซึ่งนั่นจะทำให้ฮ่องกงขาดแคลนแรงงานรุ่นใหม่ฝีมือดีและเคลื่อนเข้าสู่สังคมสูงวัยในที่สุด
อยากให้ลูกๆ มีอนาคตที่ดีกว่านี้
เมื่อต้นปีที่ผ่านมา BBC รายงานถึงผู้อพยพจากฮ่องกงที่คิดเริ่มต้นชีวิตใหม่ในสหราชอาณาจักรซึ่งให้วีซ่าประเภทใหม่แก่ชาวฮ่องกง 5.4 ล้านคนหรือคิดเป็นประมาณ 70% ของประชากรทั้งหมดในฮ่องกงให้มีสิทธิย้ายเข้ามาอาศัยและกลายเป็นพลเมืองอังกฤษในที่สุด
หนึ่งในนั้นคือครอบครัวของแอนดี ลี และเทรี หว่อง และลูกๆ เหตุผลหลักของพวกเขาคือต้องการให้ลูกได้รับโอกาสที่ดีกว่าทั้งด้านการศึกษาและอนาคต ตลอดจนหลักนิติรัฐ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยที่พวกเขาต้องการมาตลอด
แม้ว่าการขอสัญชาติของพวกเขาต้องใช้เวลานานถึง 6 ปี โดยระหว่างนี้พวกเขาต้องหาเงินเลี้ยงดูตัวเอง แต่ก็ได้รับสวัสดิการรักษาพยาบาล และเงินสนับสนุนการศึกษาให้บุตรเรียนฟรี ซึ่งขณะนี้ลูกๆ ของพวกเขาได้เข้าโรงเรียนใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
พวกเขากล่าวว่า "อยากให้ลูกๆ สามารถพูดในสิ่งที่ต้องการในโรงเรียนไม่เหมือนกับในฮ่องกงที่ต้องคอยระมัดระวัง"
โดยในเดือนกันยายนปีที่ผ่านมามีนักเรียนในฮ่องกงถูกสั่งพักการเรียน 1 สัปดาห์หลังแสดงข้อความในชั้นเรียนว่า "ปลดปล่อยฮ่องกง ปฏิวัติเดี๋ยวนี้"
ฝันร้ายจากกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ
นอกจากนี้ยังมีชาวฮ่องกงอีกจำนวนมากที่อพยพไปยังประเทศอื่นๆ อาทิ แคนาดา ออสเตรเลีย และไต้หวันที่เปิดรับผู้อพยพชาวฮ่องกงหลังจากที่จีนออกกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติซึ่งแอมเนสตี้มองว่าเป็นการคุกคามสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์
ผลการสำรวจจาก Stand News เว็บไซต์ข่าวไม่แสวงหาผลกำไรในฮ่องกงพบว่าชาวฮ่องกงต้องการย้ายถิ่นฐานถึง 76% หลังการประใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ ขณะที่ก่อนการประกาศมีประชาชนต้องการย้ายถิ่นฐานเพียง 37%
ขายบ้านย้ายประเทศ
Centaline Property Agency ตัวแทนด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดของฮ่องกงเผยข้อมูลเมื่อปลายปีที่แล้วว่ามีชาวฮ่องกงประกาศขายบ้านกว่า 26,000 หลังซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 44% เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็นการส่งสัญญาณว่าพวกเขาต้องการย้ายถิ่นฐานไปยังประเทศอื่น
นอกจากนี้ CNBC ยังระบุว่ากระแสลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในสหราชอาณาจักรและประเทศอื่นๆ ของชาวฮ่องกงก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน เนื่องจากการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศถือเป็นใบเบิกทางในการขอวีซ่าแบบพำนักถาวรตลอดจนการขอสัญชาติในประเทศนั้นๆ
ขณะที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ต่างชาติหลายแห่งมีการยิงโฆษณาบนโซเชียลมีเดียเชิญชวนให้ซื้ออสังหาฯ และเริ่มต้นชีวิตใหม่ในต่างแดน
ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญประมาณการว่าปรากฏการณ์นี้อาจเป็นการเคลื่อนย้ายการลงทุนครั้งใหญ่ที่สุดของฮ่องกงนับตั้งแต่ปี 1997 และสถิติที่เผยเปิดโดยสำนักงานสถิติแห่ชาติชี้ให้เห็นว่าใน 2019 มีชาวฮ่องกงย้ายไปอยู่ต่างประเทศถึง 29,200 คนซึ่งมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2012 โดยจุดหมายปลายทางหลักคือสหราชอาณาจักร แคนาดา สหรัฐ ออสเตรเลีย และไต้หวัน
เส้นทางอาจไม่สวยงามเสมอไป
หลายคนวาดฝันไว้ว่าการย้ายไปอาศัยในต่างแดนอาจได้คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีอิสระเสรีมากขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีเส้นทางที่สวยงามกับการย้ายถิ่นฐาน
กระแสการย้ายถิ่นฐานของชาวฮ่องกงทำให้เกิดบริษัทรับจ้างพาไปต่างประเทศซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงถึงหลายแสนเหรียญฮ่องกงหรือนับล้านบาท นอกจากนี้ยังมีมิจฉาชีพใช้ลู่ทางนี้หลอกลวงประชาชนโดยมีประชาชนจำนวนมากถูกหลอกลวงและออกมาร้องเรียนในปี 2019
บางครอบครัวจ่ายเงินไปเป็นจำนวนหลายแสนเหรียญฮ่องกงให้บริษัทเพื่อทำเรื่องอพยพไปยังต่างประเทศโดยใช้เวลานานนับปีก็ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ ทั้งยังหายไปพร้อมเงินจำนวนดังกล่าว
หรือบางรายได้ย้ายถิ่นฐานแล้วแต่ก็ต้องเผชิญกับปัญหาในต่างแดน อย่าง ทอม เหลา ชาวฮ่องกงคนหนึ่งซึ่งย้ายไปยังลอนดอนเขาต้องจ่ายค่าเช่าบ้านเป็นเงิน 6,300 เหรียญฮ่องกงหรือกว่า 25,000 บาทต่อเดือน โดยเจ้าของบ้านแบ่งห้องนอน 3 ห้องของบ้านออกเป็น 6 ห้องเพื่อรองรับผู้อาศัยถึง 8 คน เขากล่าวว่ามันเป็นเหมือนตลาดมืดเพราะเขาไม่มีแม้แต่สัญญาเช่าบ้านแต่ก็ทำอะไรไม่ได้
โดย ณิชมน โลหะขจรพันธ์
Photo by Isaac LAWRENCE / AFP