posttoday

แอมเนสตีประณามประเทศร่ำรวยผูกขาดวัคซีนโควิด

07 เมษายน 2564

รายงานแอมเนสตีระบุ ประเทศร่ำรวยเกือบจะผูกขาดวัคซีน ปล่อยให้ประเทศยากจนเผชิญกับปัญหาสาธารณสุขครั้งเลวร้าย

องค์การนิรโทษกรรมสากล (AI) ประณามว่าบรรดาประเทศร่ำรวยกำลังล้มเหลวในการทดสอบความเป็นหนึ่งเดียวกันทั่วโลกขั้นพื้นฐานโดยการกักตุนวัคซีน ทั้งยังติติงทางการจีนและอีกหลายประเทศว่าใช้ประโยชน์จากการแพร่ระบาดของ Covid-19 บ่อนทำลายสิทธิมนุษยชน

รายงานประจำปีของ AI ระบุว่า วิกฤตสุขภาพได้เปิดโปงนโยบายที่ล้มเหลว และย้ำว่าความร่วมมือกันเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้โลกก้าวไปข้างหน้าได้

แอกเนส คาลลามาร์ด เลขาธิการ AI เผยว่า “โรคระบาดชี้ให้เห็นว่าโลกไม่สามารถร่วมมือกันได้อย่างมีประสิทธิภาพและเท่าเทียม บรรดาประเทศร่ำรวยก่อให้เกิดภาวะเกือบผูกขาดวัคซีนของทั้งโลก ทำให้ประเทศยากจนซึ่งไม่ค่อยมีทรัพยากรต้องเผชิญกับผลลัพธ์ด้านสุขภาพและสิทธิมนุษยชนครั้งเลวร้ายที่สุด”

คาลลามาร์ดยังเรียกร้องให้ทั่วโลกเร่งฉีดวัคซีน โดยระบุว่าการฉีดวัคซีนถือเป็นบททดสอบขั้นพื้นฐานของความร่วมมือกันของโลก

อย่างไรก็ดี แม้ว่า AI จะเรียกร้องให้ทั่วโลกร่วมมือกัน แต่ตัวเลขก็ชี้ให้เห็นถึงความไม่เท่าเทียมกันในการเข้าถึงวัคซีนต้าน Covid-19 จากข้อมูลของสำนักข่าว AFP พบว่า วัคซีนกว่าครึ่งของวัคซีน 680 ล้านโดสที่ฉีดไปแล้วทั่วโลกนั้นล้วนฉีดในประเทศร่ำรวย อาทิ สหรัฐ อังกฤษ อิสราเอล ขณะที่ประเทศยากจนได้รับวัคซีนเพียง 0.1%

นอกจากนี้ AI ยังวิจารณ์ว่าถึงการไร้ความรับผิดชอบของจีนระหว่างที่ Covid-19 ระบาด โดยกล่าวหาว่าจีนพยายามเซ็นเซอร์บุคลากรทางการแพทย์หรือนักข่าวที่ออกมาเตือนถึงสัญญาณอันตรายตั้งแต่การระบาดช่วงแรกๆ

“Covid-19 ทำให้การปราบปรามเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเข้มข้นขึ้น โดยมีนักข่าวหลายคนที่รายงานเกี่ยวกับการแพร่ระบาดหายตัวไป และบางคนถูกจำคุก” รายงานระบุ

รายงานยังระบุอีกว่า หลายประเทศ เช่น ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และฮังการี ใช้การแพร่ระบาดนี้ปิดปากคนที่วิจารณ์ โดยยกตัวอย่างการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ในการปราบปรามผู้ประท้วงในบราซิลและไนจีเรียเมื่อปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ยังระบุว่า ระหว่างที่เกิดโรคระบาด ผู้หญิงและผู้อพยพยิ่งถูกผลักดันให้กลายเป็นคนกลุ่มน้อยในสังคม

Photo by HAZEM BADER / AFP