วิจัยเผยสตรีมีครรภ์เสี่ยงต่อโควิด-19 มากกว่าคนทั่วไป
งานวิจัยจากสหรัฐอเมริกาพบว่าอัตราการติดโควิด-19 ในสตรีมีครรภ์สูงกว่าคนกลุ่มอื่นในอายุใกล้เคียงกันถึง 70%
งานวิจัยที่ตีพิมพ์ลงบนวารสารวิชาการด้านสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา (American Journal of Obstetrics and Gynecology) จากสหรัฐอเมริการะบุว่าอัตราการติดโควิด-19 ในผู้หญิงตั้งครรภ์สูงกว่าคนกลุ่มอื่นๆ ที่มีอายุใกล้เคียงกันถึง 70% นอกจากนี้ยังพบว่าอัตราการติดเชื้อในหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นคนผิวสีสูงกว่าที่คาดไว้ 2 ถึง 4 เท่า
ทีมวิจัยซึ่งนำโดยมหาวิทยาลัยวอชิงตันในซีแอตเทิลได้วิเคราะห์ข้อมูลจากผู้ป่วยโควิด-19 ที่ตั้งครรภ์จำนวน 240 รายจากสถานพยาบาลทั้งหมด 35 แห่ง
จากการศึกษาพบว่าอัตราการติดเชื้อในหญิงตั้งครรภ์ในรัฐวิชิงตันอยู่ที่ 13.9 จาก 1,000 แต่หากไม่รวมผู้ป่วยที่ไม่แสดงอาการ 45 คน อัตราการติดเชื้อจะอยู่ที่ 11.3 จาก 1,000 ขณะที่คนกลุ่มอื่นในช่วงอายุ 20 ถึง 39 ปี ที่ไม่ได้ตั้งครรภ์มีอัตราการติดเชื้อคิดเป็น 7.3 จาก 1,000
นอกจากนี้ความเสี่ยงที่จะมีอาการรุนแรงหรือเสียชีวิตโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีโรคประจำตัว เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและระบบภูมิคุ้มกัน สตรีมีครรภ์อาจได้รับผลกระทบร้ายแรงจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ
นักวิจัยระบุว่าสตรีมีครรภ์ไม่ได้รับการคุ้มครองจากโควิด-19 ในช่วงที่เริ่มเกิดการแพร่ระบาด โดยมีอัตราการติดเชื้อจำนวนมากในชนกลุ่มน้อยและกลุ่มชาติพันธุ์ทุกเชื้อชาติ
อัตราการติดเชื้อสูงอาจเป็นผลมาจากการที่บทบาทของพวกเขาอยู่ในฐานะผู้ดูแลครอบครัว, อาศัยอยู่ในครัวเรือนขนาดใหญ่, ต้องเดินทางไปยังสถานพยาบาลหรือสถานรับเลี้ยงเด็ก, ประกอบอาชีพในอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ อาทิ สาธารณสุข การศึกษา ภาคบริการ หรือปัจจัยอื่นๆ
ทีมวิจัยระบุว่าต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับการกระจายทางภูมิศาสตร์ และเชื้อชาติของการติดเชื้อในผู้ป่วยตั้งครรภ์ เพื่อให้สามารถกำหนดเป้าหมายเพื่อดำเนินการด้านสาธารณสุขให้แก่ผู้หญิงตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงสูง และป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อมารดาและทารกในครรภ์
พร้อมแนะนำว่าควรให้ความสำคัญกับสตรีมีครรภ์ในการฉีดวัคซีนต้านโรคโควิด-19 ซึ่งขณะนี้ทางการยังไม่แนะนำให้สตรีมีครรภ์เข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลด้านความปลอดภัยในสตรีมีครรภ์
อย่างไรก็ตามผู้ผลิตวัคซีนบางรายอย่างไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทคประกาศว่าจะเริ่มการทดลองวัคซีนเพื่อประเมินสำหรับการฉีดวัคซีนในสตรีมีครรภ์
Photo by Federico PARRA / AFP