posttoday

เศรษฐีนีใจบุญผู้บริจาคเงินกว่าแสนล้านในรอบ 1 ปี

16 ธันวาคม 2563

แม็คเคนซี สก็อตต์ อดีตภรรยาผู้ก่อตั้งแอมะซอนบริจาคเงินให้องค์กรการกุศลไปแล้วกว่าแสนล้านภายในเวลาไม่ถึง 1 ปี

1. ภายในปีนี้ แม็คเคนซี สก็อตต์ ควักเงินบริจาคให้แก่องค์กรการกุศลไปแล้วเกือบ 6 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 180,000 ล้านบาท) โดยเพียงแค่ 4 เดือนที่ผ่านมาเธอได้บริจาคเงินแก่ธนาคารอาหารและกองทุนบรรเทาทุกข์ฉุกเฉินไปแล้วกว่า 4 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 120,000 ล้านบาท)

2. สก็อตต์กล่าวว่าการบริจาคเงินในครั้งนี้เพราะต้องการช่วยเหลือชาวอเมริกันที่กำลังดิ้นรนเพราะโรคระบาด ซึ่งได้บริจาคให้แก่องค์กรการกุศลมากกว่า 380 แห่งที่จะส่งมอบเงินให้กับหน่วยงานต่างๆ เกือบ 6,500 แห่ง

"การระบาดใหญ่ครั้งนี้เป็นการทำลายล้างชีวิตของชาวอเมริกันซึ่งจำเป็นต้องดิ้นรน ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสุขภาพนั้นเลวร้ายอย่างยิ่งโดยเฉพาะกับสตรี คนผิวสี และผู้ยากไร้ แต่ในขณะเดียวกันก็เพิ่มความร่ำรวยของมหาเศรษฐีได้เป็นอย่างมาก" สก็อตต์กล่าว

3. เมื่อปีที่แล้วเธอได้ลงนามในสัญญาที่จะมอบทรัพย์สินส่วนตัวอย่างน้อยครึ่งหนึ่งเพื่อการกุศล และภายใน 1 ปีของการลงนามในสัญญาเธอได้บริจาคเงินจำนวน 1,700 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 51,000 ล้านบาท) ให้แก่องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร 116 แห่ง โดยมุ่งเน้นไปที่องค์กรด้านความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ, ความเท่าเทียมทางเพศ, ประชาธิปไตย และการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ

4. สาเหตุที่เธอเป็นเจ้าแม่บุญทุ่มได้ถึงขนาดนี้เพราะเธอเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดอันดับที่ 18 ของโลก โดยมีทรัพย์สิน 60,700 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1.8 ล้านล้านบาท) ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 23,600 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 709,000 ล้านบาท) ในปีนี้

5. สก็อตต์ได้รับการจัดอันดับให้เป็นผู้หญิงที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ในเดือนกันยายน 2020 แต่จากการจัดอันดับของนิตยสารธุรกิจ Forbes ระบุให้เธอเป็นเศรษฐีนีที่ร่ำรวยอันดับที่ 4 ของโลก

6. สาเหตุที่ทำให้เธอร่ำรวยขึ้นอย่างก้าวกระโดดเนื่องจากการเติบโตของ "แอมะซอน" โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเธอเป็นอดีตภรรยาของ เจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้งแอมะซอน ซึ่งเป็นบุคคลทีร่ำรวยที่สุดในโลก โดยได้หย่าขาดกันไปเมื่อปีที่แล้ว หลังจากที่ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันมา 25 ปี ซึ่งถือเป็นการหย่าครั้งประวัติการณ์เนื่องจากสก็อตต์ได้รับค่าหย่าจากอดีตสามีเป็นหุ้นร้อยละ 4 ของแอมะซอน ซึ่งคิดเป็นมูลค่า 35,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.1 ล้านล้านบาท

Photo by JORG CARSTENSEN / dpa / AFP