อเมริกันแตกแยกยากเยียวยา ไม่ว่าใครจะได้เป็นประธานาธิบดี
ความขัดแย้งในสหรัฐ ความแตกต่างระหว่าง 2 ขั้วความคิดไม่ใช่แค่พรรคการเมือง
สังคมสหรัฐภายใต้การปกครองของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ปรากฏความขัดแย้งอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน สะท้อนให้เห็นจากการเผชิญหน้าที่รุนแรงระหว่างผู้สนับสนุนและฝ่ายตรงข้ามของทรัมป์ในระหว่างการเลือกตั้ง
ตลอดระยะเวลาเกือบ 4 ปีในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์ กระตุ้นอารมณ์ต่อทั้งกลุ่มผู้สนับสนุนและฝ่ายตรงข้าม แม้ว่าผู้สนับสนุนจะชื่นชมผลงานต่างๆ ของทรัมป์ แต่พรรคเดโมแครตมองว่าเขาเป็นภัยคุกคามต่อประชาธิปไตยอเมริกัน
อย่างไรก็ตามความขัดแย้งที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากการแบ่งขั้วระหว่างสองพรรคการเมืองเท่านั้น แต่ต้นตอของความขัดแย้งในสังคมคือการแบ่งกลุ่มของประชาชนระหว่างชาตินิยมและโลกาภิวัตน์ ซึ่งไม่ว่าใครจะได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีไปครอง แต่ความขัดแย้งและแตกแยกเหล่านี้จะไม่สามารถคลี่คลายไปได้ง่ายๆ อย่างแน่นอน
ทรัมป์ เคยกล่าวไว้ว่า "นักโลกาภิวัตน์ที่บุคคลที่ต้องการให้โลกดีโดยไม่สนใจประเทศของตนเองมากนัก แต่เราไม่สามารถทำเช่นนั้นได้" พร้อมยอมรับว่าเขาสนับสนุนแนวคิดชาตินิยม "เราปฏิเสธอุดมการณ์ของโลกนิยมและเราเรายอมรับคำสอนเรื่องการรักชาติ"
อาจกล่าวได้ว่าขณะนี้มีสองความขัดแย้งหลักในสหรัฐ ประการแรกคือความขัดแย้งทางเชื้อชาติ ระหว่างคนผิวขาวและชนกลุ่มน้อย โดยในระยะหลังมานี้ ตำแหน่งทางการเมืองของคนผิวขาวลดลงและพวกเขาจะสูญเสียอำนาจเหนือประเทศในอนาคต ขณะที่อัตราส่วนของชนกลุ่มน้อยเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จึงเพิ่มความต้องการความเท่าเทียมและสิทธิของพวกเขา
เป็นเรื่องปกติที่ชนกลุ่มน้อยต้องการตำแหน่งทางการเมือง สังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมที่สอดคล้องกัน แต่สิ่งนี้จะก่อให้เกิดความท้าทายอย่างรุนแรงต่อวัฒนธรรมศาสนาและเชื้อชาติของสหรัฐ
ประการที่สองคือความขัดแย้งระหว่างชนชั้นสูงและชนชั้นกลาง ซึ่งดูเผินๆ อาจมองว่าเป็นความขัดแย้งจากการแบ่งขั้วระหว่างสองพรรคการเมือง เนื่องจากผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตส่วนใหญ่เป็นชนชั้นนำประชาธิปไตยซึ่งได้รับประโยชน์จากโลกาภิวัตน์และการเปิดเสรีเศรษฐกิจโลก ซึ่งขัดแย้งกับกลุ่มชาตินิยมอย่างรีพับลิกันโดยสิ้นเชิง
ขณะที่ผู้สนับสนุนรีพับลิกันคือชนชั้นกลางและล่าง รวมถึงกลุ่มอนุรักษนิยม สังเกตได้อย่างชัดเจนในแผนที่การเลือกตั้ง โดยรัฐสีแดงมีจำนวนมากในกลุ่มประชากรและเศรษฐกิจที่ค่อนข้างล้าหลัง ขณะที่รัฐสีฟ้าใช้ข้อได้เปรียบทางเศรษฐกิจและประชากรเพื่อนำไปสู่การสนับสนุนทางการเมืองในบางรัฐ
เช่นนี้แล้วความขัดแย้งในสหรัฐไม่อาจจบลงด้วยการเลือกตั้ง เนื่องจากต้นตอของความขัดแย้งนั้นไปไกลเกินกว่าการสนับสนุนรีพับลิกันหรือเดโมแครต แต่มันคือความแตกต่างทางความคิด เชื้อชาติ ฐานะทางสังคม เศรษฐกิจ และการศึกษาของประชาชนกว่า 300 ล้านคน
โดย เจม ซาล นักจิตอายุรเวชคนหนึ่งไม่เชื่อว่าการเยียวยารักษาความขัดแย้งในชาติจะง่ายเหมือนการเปลี่ยนประธานาธิบดี โดยมองว่ามันต้องใช้เวลาและความพยายามจากทั้งสองฝ่าย พร้อมเผยว่าความตึงเครียดในความสัมพันธ์ของผู้คนเพิ่มขึ้นจากพลวัตทางการเมือง
ชาวอเมริกันส่วนหนึ่งต้องสูญเสียความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง เกิดความขัดแย้งกับเพื่อนหรือครอบครัวเนื่องจากความเห็นต่างทางการเมือง โดยลูกชายวัย 21 ปีคนหนึ่ง บอกกับแม่ของเขาว่า "แม่จะไม่ใช่แม่ของผมอีกต่อไปถ้าแม่โหวตให้โดนัลด์ ทรัมป์"
ผู้สนับสนุนเดโมแครตวัย 39 ปีเผยว่าเธอได้ตัดเพื่อนหลายคนออกไปจากชีวิตของเธอเนื่องจากพวกเขาสนับสนุนทรัมป์ และเธอไม่สามารถคืนดีกับคนที่ให้การสนับสนุนทรัมป์ได้
หญิงวัย 47 ปีในนอร์ทแคโรไลนาไม่พูดกับแม่ที่สนับสนุนทรัมป์อีกต่อไปและยังกีดกันไม่ให้ลูกชายของเธอพูดกับยายด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะยังคงเป็นปึกแผ่นจากภายนอกแต่ความแตกแยกภายในจะยังคงอยู่ไม่ว่าใครจะได้เป็นประธานาธิบดีก็ตาม