posttoday

พลังประชาชนเฮือกสุดท้ายจะถูกบดขยี้โดยกำปั้นเหล็ก

12 สิงหาคม 2563

นี่คือยุคสมัยที่การลุกฮือทำได้ยาก ตัวอย่างคือการกวาดล้างในฮ่องกงและการใช้กำลังปราบในสหรัฐ

ยิ่งนานวันยิ่งชัดเจนว่ารัฐบาลจีนและรัฐบาลฮ่องกงมุ่งมั่นกับการใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติอย่างไม่ปรานีปราศัย เหยื่อรายล่าสุดคือ จิมมี่ ไหล (Jimmy Lai) หรือหลีจื้ออิง เจ้าของบริษัท Next Media ซึ่งมีหนังสือพิมพ์หัวสี "ผิงกัวยึเป้า" หรือ Apple Daily

ในเวลาไล่ๆ กันตำรวจไปรวบตัวแอกเนส โจว (Agnes Chow) หรือ โจวถิง หญิงสาวผู้เป็นแกนนำเรียกร้องประชาธิปไตยและพลพรรคกลุ่มเดียวกับโจวหัวหว่อง

การจับกุมตัวคนทั้งคู่ทำให้ประชาคมโลกประณามจีนและฮ่องกงอย่างรุนแรงหรือเบาะๆ ก็แสดงความกังวล

แต่จีนจะไม่หวั่นไหวไปตามเสียงประณาม และการกวาดล้างฝ่ายประชาธิปไตยจะเกิดขึ้นอย่างหนักหน่วงไปเรื่อยๆ เพราะจีนไม่มีอะไรจะเสียในเวลาที่สหรัฐไล่บี้จีนจนไม่มีทางเลือก

เพื่อรับกับการไล่บี้จากอำนาจภายนอก จีนจึงเลือกที่จะปิดประตูบ้านให้มั่น อุดช่องโหว่ที่ฮ่องกงด้วยการกวาดล้าง "ผู้สมคบกับกองกำลังภายนอก" ให้หมดโดยเร็ว

การจับกุมตัวจิมมี่ ไหลสร้างความยินดีปรีดาให้กับชาวเน็ตจีนเป็นอันมาก เพราะเขาผู้นี้เป็นเป้าหมายอแห่งคยามเกลียดชังของชาวจีน ที่มองว่าจิมมี่ ไหลเป็นคนทรยศชาติและสมคบกับต่างชาติทำลายแผ่นดินจีน

ชาวจีนแผ่นดินใหญ่ยังไม่สาแก่ใจ เรียกร้องให้นำตัวจิมมี่ ไหลมาดำเนินคดีในจีนเพื่อรับโทษหนักโดยเร็ว

กระแสชาตินิยมในจีนกำลังขึ้นสูงสืบเนื่องจากการทำสงครามการค้า ยิ่งทรัมป์สั่งแบนแอพดังจากจีน คนจีนยิ่งรู้สึกว่าต้องสนับสนุนประเทศตัวเองให้มาก ดังนั้นคนจีนจึงไม่เห็นใจการกวาดล้างในฮ่องกงเลย

บางคนอาจจะคิดว่าแค่ความสะใจ ทำอะไรฮ่องกงไม่ได้ แต่ผู้เขียนขอเตือนว่าความไร้ปรานีของคนจีนต่อฮ่องกงจะส่งผลหนักหน่วงต่อคนฮ่องกง

เพราะการที่จีนใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ ทำให้นานาประเทศละทิ้งฮ่องกงให้โดดเดี่ยว มีแนวโน้มที่ธุรกิจจะย้ายออกไป ทำให้ฮ่องกงต้องพึ่งพาแผ่นดินใหญ่มากขึ้น

ที่เลวร้ายกว่านั้นคือนับแต่นี้สินค้าที่ออกจากฮ่องกงจะถูกแปะฉลากว่า ‘Made in China’ จะถูกปฏิบัติเยี่ยงสินค้าจีน นั่นคือถูกกีดกันและเก็บภาษีสูงลิ่วจากสหรัฐ

แต่ในเมื่อคนแผ่นดินใหญ่ "ไม่โอเค" กับจุดยืนทางการเมืองของคนฮ่องกง และยังมีความเจ็บแค้นเรื่องที่คนฮ่องกงมักดูแคลนคนแผ่นดินใหญ่ โอกาสที่คนแผ่นดินใหญ่จะเห็นใจและช่วยเหลือฮ่องกงให้มีกินมีใช้จึงน้อยลงไป

คนฮ่องกงยังยืนด้วยลำแข้งตัวเองได้ และแสดงจุดยืนด้วยการแห่ไปซื้อหนังสือพิมพ์ Apple Daily กันขนานใหญ่ จากที่เคยพิมพ์วันละ 70,000 ฉบับก็เพิ่มเป็น 500,000 ฉบับเพื่อช่วยเหลือธุรกิจของจิมมี่ ไหล

หุ้นของ Apple Daily พึ่งขึ้นมาถึง 1,000% ในเวลาเพียง 2 วัน เพราะชาวฮ่องกงที่รักประชาธิปไตยช่วยกันออกเงินสนับสนุน

บางคนบอกว่าในเมื่อรัฐบาลจงใจทำลายสื่อฮ่องกง คนฮ่องกงก็ยังช่วยกอบกู้มันไว้เอง

นี่คือความทรนงของชาวฮ่องกงที่น่ายกย่อง แต่การอุ้ม Apple Daily จะไปได้ไกลแค่ไหนในสภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ำ?

และพวกเขาต้องยอมรับเช่นกันว่าการทำแบบนี้ยิ่งทำให้คนแผ่นดินใหญ่ไม่พอใจ ครั้นจะไปพึ่งพาประเทศอื่นยิ่งทำไม่ได้เพราะพากันถอนตัวไป และหากชาวฮ่องกงคนไหนเรียกร้องให้ต่างชาติเข้ามาช่วย จุดจบก็จะเป็นแบบจิมมี่ ไหลที่ถูกจับในข้อหาสมคบต่างชาติ

แต่เรื่องนี้เป็นเพียงการวิเคราะห์คาดการณ์ ไม่แน่ว่าด้วยภาวะบีบคั้นสังคมฮ่องกงที่แตกแยกหนักมาในช่วงการประท้วง อาจกลายเป็นสังคมสมานฉันท์ขึ้นมาเพราะแต่ละคนถูกบีบคั้นจากแผ่นดินใหญ่เหมือนๆ กัน

ด้วยแรงบีบคั้นและการสมานฉันท์ภายใต้การคุกคามเดียวกัน อาจทำให้ชาวฮ่องกงสร้างประชาสังคมที่แข็งแกร่งขึ้นมาได้

คำถามก็คือจีนจะยอมให้ทำแบบนั้นหรือไม่?

คำตอบก็คือไม่ การที่จีนผลักดันกฎหมายความมั่นคงอย่างฉับพลันและใช้มันอย่างฉับไวย่อมแสดงให้เห็นแล้วว่าจีนต้องรีบตัดตอนกระบวนการประชาสังคมฮ่องกงโดยเร็วที่สุด ปฏิบัติการแรกคือการกวาดจับผู้ที่สมคบกับต่างชาติก่อน นั่นคือ จิมมี่ ไหล เพราะเขาคือตัวกลางที่เป็นท่อน้ำเลี้ยงระหว่าง "คนนอก" กับขบวนการเคลื่อนไหวในฮ่องกง

หนึ่งวันหลังการจับกุมจิมมี่ ไหล South China Morning Post รายงานว่า มีกลุ่มออนไลน์ที่รับเงินมากกว่า 1 ล้านดอลลาร์ฮ่องกงจากบัญชีธนาคาต่างชาติ คนที่เกี่ยวข้องกับเงินจากภายนอกมีทั้งจิมมี่ ไหล ลูกชายของเขา, แอกเนส โจวกับแอกทิวิสต์อีก 2 คน และมาร์ก ไซมอน ผู้ช่วยคนสำคัญของจิมมี่ ไหล ซึ่งตอนนี้อยู่สหรัฐแล้ว

ถามว่ามาร์ก ไซมอนคนนี้ทำไมจึงสำคัญ? ตอบว่าเพราะเขาเป็นอดีต CIA อดีตหน่วยข่าวกรองของกองทัพเรือสหรัฐ และยังมีกระแสข่าวว่าเป็นประธานพรรครีพับลิกันสาขาฮ่องกง แม้ว่าเขาจะยืนยันว่า "ผมไม่ใช่สายลับ"

ดังนั้น จิมมี่ ไหลจึงมีสถานะเป็นเหมือนตัว "ขุน" ที่ต้องกำไว้ในมือให้ได้ เขาเป็นทั้งผู้กำหนดทิศทางการต่อสุ้ผ่านสื่อ เป็นมันสมองของขบวนการ และยังเป็นท่อน้ำเลี้ยงที่ได้น้ำเลี้ยงจาก "คนแดนไกล" ซึ่งจะเป็นใครนั้นยังไม่ทราบได้

เมื่อจับตัว "ขุน" ได้แล้วเป้าหมายต่อไปของจีนคือการควบคุมเสรีภาพในการแสดงความเห็นในฮ่องกงด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่งเพื่อรวบอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง ซึ่งวิธีการนี้ถือว่าหนักเอาการ แต่ไม่เกินความสามารถของสีจิ้นผิง ผู้เปลี่ยนภาวะการเมืองในจีนที่เคยยืดหยุ่นในระดับหนึ่ง ให้เต็มไปด้วยความยำเกรงต่อตัวเขา

การใช้กำปั้นเหล็กแบบนี้ขึ้นอยู่กับว่าสหรัฐจะเปลี่ยนท่าทีต่อจีนกับฮ่องกงหรือไม่ ซึ่งโอกาสนี้เป็นไปได้ยาก เพราะพรรคเดโมแครตจริงจังกับปัญหาสิทธิมนุษยชนยิ่งกว่าพรรครีพับลิกันเสียอีก

ที่สำคัญคือคนระดับกุนซือของจีนมองว่าสหรัฐคือภัยคุกคามและที่พยายามบ่อนทำลายจีนทั้งในที่ลับและที่แจ้ง (เรื่องนี้มีการทำเป็นสารคดีฉายกันในกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน) ในฉากหน้าแม้จีนจะบอกว่าอยากสมานฉันท์มากกว่ารบ แต่โดยธรรมชาติของมหาอำนาจแล้ว จีนกับสหรัฐไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะปะทะกันได้

ในระยะสั้น การก่อม็อบในฮ่องกงจะจบลงด้วยการกวาดจับที่หนักมือเพราะจีนไม่สนใจโลกภายนอกอีกต่อไป และสิ่งทีเกิดขึ้นในสหรัฐนั่นคือการประท้วงยืดเยื้อจะยิ่งทำให้จีนตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าหากปล่อยให้คนฮ่องกงก่อม็อบอีกจะทำให้การระบาดหนักขึ้น

การที่โลกภายนอกสาละวนอยู่กับการคุมโรคระบาดทำให้จีนมีโอกาสที่จะเก็บกวาดฮ่องกงง่ายขึ้นไปอีก

ที่เราจะต้องจับตาก็คือ โอกาสนี้ไม่ได้มีแค่จีนเท่านั้นที่มองเห็น

Photo by VERNON YUEN / AFP