posttoday

เปิดประวัติแร็พเปอร์ดังที่จะมาชิงเก้าอี้ผู้นำสหรัฐจากทรัมป์

09 กรกฎาคม 2563

กลายเป็นเรื่องฮือฮาไปทั่วโลกเมื่อแร็พเปอร์ชื่อดังอย่าง คานเย เวสต์ ประกาศลงสมัครชิงเก้าอี้ผู้นำสหรัฐที่กำลังจะเกิดขึ้นในเดือน พ.ย.นี้

เวสต์ประกาศเจตนารมณ์ผ่านทวิตเตอร์ว่า “ตอนนี้เราต้องตระหนักถึงคำมั่นสัญญาของอเมริกาด้วยการเชื่อมั่นในพระเจ้า ทำวิสัยทัศน์ให้เป็นหนึ่งเดียว และสร้างอนาคตไปด้วยกัน ผมจะลงสมัครประธานาธิบดีสหรัฐ! #2020VISION”

ด้วยความที่เวสต์ประกาศแผนนี้หลังจากเปิดตัวอัลบั้มใหม่ที่ชื่อว่า God’s Country ไม่กี่วัน บวกกับสไตล์ที่ผ่านๆ มาที่เจ้าตัวมักจะโปรโมทตัวเองและโปรเจกต์ต่างๆ  ด้วยคำพูดที่เกี่ยวกับการเมือง ทำให้แฟนๆ และชาวโซเชียลมีเดียบางส่วนอดสงสัยไม่ได้ว่าคงจะเป็นการโปรโมทอัลบั้มอีกเหมือนเคย

ทว่าเวสต์ยืนยันกับ Forbes แล้วว่าครั้งนี้ไม่ได้มาเล่นๆ แต่จะโค่นทั้งประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน และโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครตให้ได้

วันนี้โพสต์ทูเดย์จึงรวบรวมประวัติของแร็พเปอร์ชื่อก้องโลกว่าเขาต้องฝ่าฟันอะไรมาบ้างเพื่อให้ได้เป็นนักร้องและเจ้าของแบรนด์แฟชั่น และอาจพลิกผันได้เป็นผู้นำคนที่ 46 ของสหรัฐ

1.เวสต์เกิดที่เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย แล้วไปโตที่เมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ มีชื่อเต็มๆ ว่า คานเย โอมารี เวสต์ โดยคำว่าคานเยมาจากภาษาสวาฮิลีซึ่งเป็นชนเผ่าหนึ่งในแอฟริกา แปลว่า “เพียงหนึ่งเดียว”

2.ตอนอายุ 10 ขวบ เวสต์ต้องย้ายตามแม่ไปอยู่ที่เมืองหนานจิง มณฑลเจียงซูของจีน เพราะแม่ต้องไปเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่มหาวิทยาลัยหนานจิงโดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการแลกเปลี่ยน โดยเวสต์เป็นนักเรียนต่างชาติเพียงคนเดียวในห้อง แต่ก็เรียนรู้ภาษาจีนได้รวดเร็ว แม้ว่าตอนนี้เจ้าตัวจะลืมไปเกือบหมดแล้วก็ตาม

เปิดประวัติแร็พเปอร์ดังที่จะมาชิงเก้าอี้ผู้นำสหรัฐจากทรัมป์

3.ดอนดา เวสต์ แม่ของเวสต์ เล่าไว้ในหนังสือ Raising Kanye: Life Lessons from the Mother of a Hip-Hop Superstar (การเลี้ยงคานเย บทเรียนชีวิตจากแม่ของซูเปอร์สตาร์ฮิปฮอป) ที่เธอเขียนและตีพิมพ์เมื่อปี 2007 ว่า เวสต์เคยใช้ความสามารถในการเต้นเบรกแดนซ์เพื่อหาเงินซื้อเคบับแกะ ซึ่งนั่นอาจเป็นสเต็ปแรกในการก้าวเข้าสู่วงการบันเทิง

4.เวสต์เคยพูดถึงการใช้ชีวิต 1 ปีที่เมืองจีนไว้เมื่อปี 2011 ว่า “ผมว่าชีวิตที่จีนเตรียมความพร้อมในการเข้าวงการให้ผม เพราะตอนนั้น คนจีนไม่ค่อยได้เห็นคนดำ พวกเขามักจะเดินเข้ามาใกล้ๆ แล้วจ้องผม เหมือนกับที่ผมได้รับความสนใจจากผู้คนอยู่ตอนนี้”

5.หลังจากมีข่าวเวสต์ลงชิงเก้าอี้ผู้นำสหรัฐ แฮชแท็ก #คานเยเวสต์ประกาศลงสมัครประธานาธิบดีสหรัฐ ก็ติดเทรนด์เวยปั๋วของจีนภายในเวลาไม่นาน โดยมีคอมเม้นต์ “แร็พเปอร์หนานจิงของเราจะลงสมัครประธานาธิบดีสหรัฐ” เป็นคอมเม้นต์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด

6.หลังกลับจากเมืองจีนมาอยู่ชิคาโก เวสต์ก็เริ่มซึมซับบรรยากาศความเป็นฮิปฮอปจากเมืองนี้และได้เป็นเพื่อนกับ เออร์เนสต์ ไดออน วิลสัน หรือโน ไอ.ดี. ดีเจและโปรดิวเซอร์ที่กลายมาเป็นเมนเทอร์ของเวสต์

7.เวสต์จบชั้นมัธยมจาก Polaris High School และได้รับทุนการศึกษาจากสถาบันศิลปะชิคาโก แต่เจ้าตัวเรียนไม่จบเพราะเลือกทำตามความฝันด้านดนตรี

8.เวสต์รับหน้าที่โปรดิวเซอร์ให้กับศิลปินท้องถิ่นจนสร้างเอกลักษณ์ของตัวเองที่เรียกว่า chipmunk soul ก่อนจะย้ายไปนิวยอร์กในปี 2001 ที่ซึ่งสร้างชื่อเสียงและทำให้เขาได้เป็นโปรดิวเซอร์ให้กับศิลปินดังอย่างเจย์ซีในเพลง This Can’t Be Life

9.ปีต่อมาชื่อเสียงขอเวสต์ก็เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างหลังจากนั่งเก้าอี้โปรดิวเซอร์ให้กับเจย์ซีอีก 4 เพลงในอัลบั้ม The Blueprint ซึ่งได้รับการยกย่องเป็นหนึ่งในอัลบั้มแร็พยอดเยี่ยมตลอดกาล จากจุดนี้เวสต์ยังนั่งแท่นโปรดิวเซอร์ให้กับศิลปินชื่อดังอีกหลายคน อาทิ ลูดาคริส, อลิเซีย คีส์ และบียอนเซ่

10.เวสต์ไม่หยุดอยู่แค่บุคคลเบื้องหลังเท่านั้นแม้จะได้รับการยอมรับก็ตาม เขาต้องการเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงอยู่เบื้องหน้าด้วย แต่การเริ่มต้นของเวสต์ไม่ได้ราบรื่น เขาพยายามรบเร้าให้ค่ายเพลง Roc-A-Fella ดันเขาเป็นแร็พเปอร์แต่ก็ถูกปฏิเสธ เพราะเจย์ซีซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งค่ายมองว่าเวสต์ไม่น่าจะขายได้ เนื่องจากยังขาดลุคแบบแก๊งสเตอร์

11.แต่ในที่สุด เดมอน แดช ก็จำใจยอมให้เวสต์เซ็นสัญญาในปี 2002 แต่เหตุผลหลักคือแดชกลัวว่าเวสต์จะลาออกไปเป็นโปรดิวเซอร์ให้ค่ายอื่นมากกว่าต้องการผลักดันให้เป็นแร็พเปอร์

12.แต่อุปสรรคยังไม่หมดแค่นี้ เวสต์ประสบอุบัติเหตุรถชนจนกรามร้าว ต้องเย็บขากรรไกรหลายจุด หลายคนคิดว่าเขาคงกลับมาแร็พไม่ได้แล้ว แต่ด้วยใจที่สู้เกินร้อยเวสต์ก็ฝืนเข้าห้องอัดใน 2 อาทิตย์ต่อมาเพื่อแร็ปเพลง Through the Wire ทั้งที่ยังมีไหมเย็บขากรรไกรอยู่ เขาถ่ายทอดความเจ็บปวดและการต่อสู้ผ่านเนื้อหาของเพลงที่เกี่ยวกับอุบัติเหตุครั้งนี้และชีวิตที่ผ่านมา

13.ช่วงพักฟื้นอยู่ที่ลอสแองเจลิส เวสต์ได้แต่งเพลงที่จะใช้เป็นอัลบั้มเปิดตัวอีกหลายเพลง แต่เมื่ออัลบั้มเสร็จเรียบร้อย เพลงกลับรั่วออกมาเสียก่อน แต่เวสต์ก็แก้ไขสถานการณ์ด้วยการเอาเพลงกลับมาเขียนกลับมาแต่งใหม่โดยเพิ่มกลองที่หนักหน่วงเข้าไปและปรับแก้อีกนิดหน่อย

14.ในที่สุดอัลบั้ม The College Dropout ที่ทำให้เขากลายเป็นซูเปอร์สตาร์ดังก็ออกมาในปี 2004 ด้วยยอดขาย 2.6 ล้านก๊อบปี้และยังติดอันดับ 2 ในบิลบอร์ด ชาร์ต รวมทั้งทำให้เวสต์คว้ารางวัลแกรมมี่ไปถึง 3 รางวัล จากนั้นไม่นานเวสต์ก็ก่อตั้งค่ายเพลงของตัวเองในชื่อ GOOD Music และทำอัลบั้มออกมาอีกหลายอัลบั้ม

เปิดประวัติแร็พเปอร์ดังที่จะมาชิงเก้าอี้ผู้นำสหรัฐจากทรัมป์

15.นอกจากผลงานเพลง เวสต์ยังหันมาเอาดีด้านแฟชั่นด้วยการออกแบบเสื้อผ้ารองเท้าร่วมกับแบรนด์ดังอย่าง Bathing Ape และ Nike มาตั้งแต่ปี 2006 และยังลงทุนไปฝึกงานกับ Gap และ Fendi เพื่อหาประสบการณ์เพิ่มเติมด้วย ก่อนจะเปิดตัวเสื้อผ้าผู้หญิงคอลเลคชั่นแรกของตัวเองภายใต้ชื่อ Dw by Kanye West ในปี 2011

16.ต่อมาในปี 2015 เวสต์เซ็นสัญญากับ Adidas มูลค่า 10 ล้านเหรียญสหรัฐและสร้างความฮือฮาอีกครั้งด้วยการเปิดตัวแบรนด์เสื้อผ้าไฮเอนด์ Yeezy Season 1 ร่วมกัน

17.ทรัพย์สินส่วนใหญ่ของเวสต์ไม่ได้มาจากการเป็นศิลปิน แต่เกิดจากแบรนด์เสื้อผ้าและรองเท้า Yeezy ที่ทำร่วมกับ Adidas ธนาคารแห่งอเมริการะบุว่าเมื่อปี 2019 แบรนด์นี้มีมูลค่า 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ Forbes คาดว่าแค่แบรนด์ Yeezy แบรนด์เดียวก็สร้างความมั่งคั่งให้เวสต์ถึง 1,260 ล้านเหรียญสหรัฐ

18.แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เคยถังแตกมาแล้ว ปี 2016 เจ้าตัวเคยทวีตว่าเป็นหนี้ถึง 53 ล้านเหรียญสหรัฐ และขอให้ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์กช่วยลงทุน 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐกับ “ไอเดีย” ของตัวเอง แต่ตอนนี้สถานะการเงินน่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว โดย Forbes ระบุว่าเวสต์มีทรัพย์สิน 1,300 ล้านเหรียญสหรัฐ

เปิดประวัติแร็พเปอร์ดังที่จะมาชิงเก้าอี้ผู้นำสหรัฐจากทรัมป์

19.แนวทางการเมืองของเวสต์เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เจ้าตัวเคยบริจาคเงินสนับสนุนทั้ง บารัก โอบามา และฮิลลารี คลินตัน จากพรรคเดโมแครต แต่หลังจากทรัมป์ได้รับเลือกตั้งในปี 2016 เวสต์ประกาศชัดเจนว่าลงคะแนนให้ทรัมป์ และยังเคยสวมหมวกที่มีข้อความว่า MAGA (Make America Great Again) ซึ่งเป็นวลีของทรัมป์ และยังได้โอกาสพบทรัมป์อย่างใกล้ชิดที่ทำเนียบขาว

20.แต่หลังจากนั้นไม่นานก็เริ่มถอยห่างจากทรัมป์ และยังบริจาคเงินสนับสนุนการประท้วงเรียกร้องความเท่าเทียมให้กับคนผิวดำในสหรัฐซึ่งอยู่คนละฝั่งกับทรัมป์ โดยล่าสุดยังเผยกับ Forbes ว่าเลิกหนุนทรัมป์แล้ว และจะชิงเก้าอี้ผู้นำสหรัฐจากทรัมป์ให้ได้

21.การประกาศลงสนามการเมืองของเวสต์ทำให้เกิดข้อกังขาว่าเจ้าตัวอาจจะมาแย่งคะแนนจากคนผิวสีของพรรคเดโมแครตเพื่อช่วยทรัมป์ ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ก็จะเป็นการกดดันทางอ้อมให้ โจ ไบเดน ตัวแทนผู้สมัครของเดโมแครต เลือกรองประธานาธิบดีผิวสีมายืนเคียงข้างเพื่อเก็บคะแนนจากคนผิวสี แทนที่จะเลือก ลัดดา แทมมี ดักเวิร์ธ นักการเมืองสายเลือดไทยที่สื่อสหรัฐยกให้เป็นตัวเต็ง

22.อีกเรื่องหนึ่งที่เวสต์ต้องพิสูจน์ตัวเองก็คือ การสร้างความน่าเชื่อถือ แลร์รี ซาบาโต ผู้อำนวยการศูนย์การเมืองแห่งมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียมองว่า ไม่ว่าเวสต์จะรณรงค์หาเสียงอย่างหนักเพียงใด ก็จะได้ส่วนแบ่งคะแนนเสียงไม่กี่เปอร์เซนต์ แต่ที่สำคัญคือเขาจะต้องทำให้คนอเมริกันเชื่อว่าตัวเองลงสมัครจริงจังเสียก่อน