posttoday

ทำไมเจ้าสัวฮ่องกงหนุนกฎหมายคุมม็อบจากรัฐบาลจีน

27 พฤษภาคม 2563

ลูกชายลีกาชิงเชื่อกฎหมายความมั่นคงฮ่องกงจะช่วยให้บ้านเมืองสงบ กลับมาทำมาค้าขายได้เหมือนเดิม

เพียงแค่รัฐบาลจีนประกาศว่าจะนำกฎหมายความมั่นคงมาบังคับใช้ในฮ่องกง ก็ทำให้ชาวฮ่องกงจำนวนหนึ่งออกมาประท้วงโดยไม่กลัว Covid-19 เพราะมีสิ่งที่น่ากังวลกว่า นั่นก็คือการถูกลิดรอนสิทธิเสรีภาพ

ผิดกับภาคธุรกิจที่แสดงท่าทีสนับสนุนกฎหมายนี้ โดยเฉพาะ วิกเตอร์ ลี บุตรชายคนโตของ ลีกาชิง มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของฮ่องกง ที่บอกว่ากฎหมายความมั่นคงจะช่วยให้ฮ่องกงสงบ สังคมและธุรกิจกลับสู่ภาวะปกติ

หากมองในมุมของนักธุรกิจ การค้าขายจะดำเนินไปได้และเจริญรุ่งเรืองก็ต่อเมื่อบ้านเมืองมีความสงบ และภาคธุรกิจของฮ่องกงก็บอบช้ำจากการชุมนุมประท้วงที่ยืดเยื้อกว่าครึ่งปีอย่างแสนสาหัสแล้ว หนำซ้ำยังถูก Covid-19 เล่นงานซ้ำอีก 

ถ้าปล่อยให้กลุ่มผู้ประท้วงสร้างความวุ่นวายต่อไปโดยที่รัฐบาลฮ่องกงยังจัดการขั้นเด็ดขาดไม่ได้ก็จะมีแต่เสียกับเสีย

จึงไม่แปลกที่ วิกเตอร์ ลี จะขานรับกฎหมายความมั่นคงจากรับบาลจีนแผ่นดินใหญ่ ทั้งๆ ที่ปกติแล้วเขาไม่ค่อยแสดงความคิดเห็นทางการเมือง

เช่นเดียวกับหอการค้าฮ่องกงที่ออกแถลงการณ์ว่า แม้ร่างกฎหมายนี้ยังไม่มีคำอธิบายหรือรายละเอียดขอบเขตที่จะบังคับใช้ที่แน่ชัด แต่สิ่งที่ทางหอการค้าฮ่องกงต้องการเห็นมากที่สุดคือสังคมที่มีเสถียรภาพ เอื้อต่อการทำธุรกิจ

พูดง่ายๆ ก็คือถ้ากฎหมายนี้ทำให้ฮ่องกงกลับมาสงบได้ หอการค้าก็พร้อมอ้าแขนรับ

หรือแม้แต่นายธนาคารจากยุโรปที่เปิดสาขาในฮ่องกง ก็ไม่ได้กังวลว่ากฎหมายความมั่นคงจะทำลายสถานะการเป็นศูนย์กลางทางการเงินของฮ่องกง ด้วยเหตุผลว่าภาคการเงินต้องการสภาพแวดล้อมการลงทุนที่มั่นคง และกำหมายนี้ก็ตอบโจทย์ได้อย่างดี

จากการสำรวจความคิดเห็นนักธุรกิจของหอการค้าสหรัฐพบว่า 67% เห็นว่าการประท้วงที่เริ่มจากความไม่พอใจกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนส่งผลร้ายต่อชื่อเสียงในด้านการทำธุรกิจของฮ่องกงโดยตรง และ 80% บอกว่าความวุ่นวายทางการเมืองมีผลกับการตัดสินใจลงทุนในฮ่องกงในอนาคตด้วย

ขณะที่อีกด้านหนึ่ง ยังไม่ทันที่กฎหมายจะบังคับใช้ ชาวฮ่องกงจำนวนหนึ่งได้นัดรวมตัวประท้วงอีกแล้วโดยไม่มีท่ท่าว่าจะกลัว Covid-19 และเชื่อว่าหากถึงวันที่ประกาศใช้จริง ผู้ประท้วงคงลงถนนและอาจจะลากยาวซ้ำรอยเดิมเป็นแน่ ความสงบที่บรรดาเจ้าสัวต้องการคงเกิดขึ้นยาก

นอกจากนี้ ทันทีที่มีข่าวว่าจีนจะใช้กฎหมายนี้กับฮ่องกงก็ส่งผลให้ตลาดหุ้นของฮ่องกงปิดตลาดติดลบ 5.6% ซึ่งเป็นการติดลบประจำวันที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือน ก.ค. 2015 เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่ากฎหมายความมั่นคงจะกระทบกับสถานะศูนย์กลางทางการเงินของฮ่องกง

ยังมีความกังวลที่ร้ายกว่านั้นคือ รัฐบาลสหรัฐอาจจะตัดสิทธิพิเศษทางเศรษฐกิจและการค้าที่เคยให้ฮ่องกงหากรัฐบาลสหรัฐมองว่าทางการจีนเข้ามาแทรกแซงควบคุมฮ่องกงมากเกินไป โดยอาศัยกฎหมายสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยฮ่องกงที่ผ่านสภาสหรัฐไปเมื่อปีที่แล้วมากดดันจีนทางอ้อม

เมื่อไม่มีสิทธิพิเศษต่างๆ ความดึงดูดในการทำธุรกิจของฮ่องกงก็หายไป

กรณีนี้หากจะพูดให้เห็นภาพก็คือ เมื่อช้างสารอย่างสหรัฐและจีนชนกัน หญ้าแพรกอย่างฮ่องกงที่อยู่กลางสมรภูมิก็แหลกลาญไปด้วย

ผู้เชี่ยวชาญบางรายมองว่ากฎหมายความมั่นคงจะกระทบต่อความน่าเชื่อถือของฮ่องกงในถานะที่เป็นศูนย์กลางทางการเงินระดับนานาชาติที่มีความเป็นกลาง

โทรุ คุระตะ ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยริคเคียวในกรุงโตเกียวเผยว่า กฎหมายความมั่นคงเปิดช่องให้ทางการจีนสามารถตั้งสถาบันต่างๆ ด้านความมั่นคงในฮ่องกง ส่งผลให้เจ้าหน้าที่จีนอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงเข้าไปยุ่มย่ามกับองค์กรธุรกิจได้อย่างชอบธรรม ซึ่งไม่เพียงแต่ไม่สะดวกกับการทำธุรกิจเท่านั้น แต่ยังมีต้นทุนที่ภาคธุรกิจต้องจ่ายด้วย

อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในธุรกิจคือ ผลกระทบของกฎหมายต่ออิสระในการพิจารณาพิพากษาคดี ไซม่อน พริตชาร์ด ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยจากบริษัทวิจัยด้านการลงทุน Gavekal  มองว่าชื่อเสียงของฮ่องกงในเรื่องระบบพิจารณาคดีที่เป็นธรรมเป็นสิ่งที่ดึงดูดนักธุรกิจ

หากกฎหมายมีผลบังคับใช้ พริตชาร์ดมองไปไกลถึงขั้นว่าศาลท้องถิ่นในฮ่องกงที่ทำหน้าที่ตัดสินคดีที่คู่ความมาจากจีนแผ่นดินใหญ่อาจจะโอนคดีไปให้ศาลความมั่นคงของจีนพิจารณา ซึ่งถือเป็นกรณีเลวร้ายที่สุด เพราะขัดกับ Basic Law หรือรัฐธรรมนูญของฮ่องกง

กฎหมายนี้จะช่วยชุบชีวิตเศรษฐกิจฮ่องกงอย่างที่เจ้าสัวฮ่องกงคาดหวัง หรือจะซ้ำเติมก็ยังไม่ชัดเจน แต่ที่แน่ๆ เพียงแค่เริ่มมีข่าวว่าเตรียมจะใช้ การประท้วงที่ภาคธุรกิจไม่อยากให้เกิดก็กลับมาเยือนฮ่องกงอีกครั้งหนึ่งแล้ว