posttoday

สภาสหรัฐหยุดเล่นการเมืองสามัคคีผ่านงบฉุกเฉินใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

26 มีนาคม 2563

หลังจากนี้จะส่งงบประมาณให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาและคาดว่าจะผ่านโดยง่ายแม้ว่าฝ่ายค้านจะคุมเสียงก็ตาม

วุฒิสภาสหรัฐอเมริกามีมติเป็นเอกฉันท์ผ่านงบประมาณฉุกเฉินเพื่อช่วยเหลือประชาชนก้อนที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์เป็นเงินทั้งสิ้น 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อช่วยเหลือชาวอเมริกันและโรงพยาบาลที่กำลังจะอับจนหนทางช่วยผู้ป่วย และกอบกู้ระบบเศรษฐกิจทั้งหมด

มาตรการนี้ได้รับการอนุมัติด้วยมติของวุฒิสภาด้วยคะนนเสียง 96-0 นับเป็นเรื่องที่น่าประทับใจที่ไม่มีฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลโหวตคัดค้านเลยแม้แต่แคนเดียว ทว่าก่อนหน้านี้กว่าที่มติจะเป็นเอกฉันท์ต้องผ่านการจรจาและการอภิปรายที่ดุเดือด

ขณะนี้สหรัฐมียอดผู้เสียชีวิตจากการระบาดใหญ่เพิ่มขึ้น 1,000 คนและมีการติดเชื้อยืนยันแล้ว 68,000 คน การระบาดได้เพิ่มขึ้นทั่วประเทศ และยังเกิดความกลัวว่านิวยอร์กอาจเป็นศูนย์กลางของการระบาดของโรค

"ให้เราบอกพวกเขาว่าในคืนนี้ว่าความช่วยเหลือกำลังมาถึง พวกเขาไม่ได้อยู่พำลังเลย และให้รู้ว่าประเทศนี้ว่าวุฒิสภานี้ ว่ารัฐบาลนี้อยู่ที่นี่เพื่อพวกเขาในเวลาที่ต้องการความช่วยเหลือ" ชัค ชูเมอร์ วุฒิสภาพรรคเดโมแครต ซึ่งเป็นฝ่ายค้านกล่าวก่อนลงคะแนน และย้ำว่า "ขอให้เราช่วยจัดการให้รัฐบาลนี้ลงมือทำให้เป็นจริง"

ต่อจากนี้มาตรการดังกล่าวจะถูกส่งไปยังสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งผู้นำพรรคเดโมแครต อันเป็นเสียงส่วนใหญ่ในสภากล่าวว่าจะผ่านการลงคะแนนเสียงด้วยเสียงในวันศุกร์ ก่อนที่จะส่งไปถึงประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อลงนามประกาศใช้

สาระสำคัญของงบประมาณช่วยเหลือก้อนใหญ่สุดในประวัติ

  1. แจกเงินโดยตรงสูงถึง 1,200 เหรียญสหรัฐสำหรับบุคคลทั่วไป และ 2,400 เหรียญสหรัฐสำหรับครอบครัว โดยเพิ่ม 500 เหรียญสหรัฐสำหรับเด็กทุกคน
  2. เพิ่มการประกันการว่างงานเพิ่ม 600 เหรียญสหรัฐต่อสัปดาห์นานถึง 4 เดือนโดยได้รับผลประโยชน์ตามปกติจากรัฐ และจะขยายสิทธิ์ให้กับคนที่ประกอบอาชีพอิสระและผู้รับเหมาอิสระ
  3. อัดฉีดงบประมาณ 500 พันล้านเหรียญเพื่อปล่อยสินเชื่อ, เพื่อค้ำประกันเงินกู้ หรือลงทุนให้กับภาคธุรกิจและรัฐและเทศบาลที่ได้รับความเสียหายจากวิกฤต
  4. จัดสรรเงินจำนวน 25,000 ล้านเหรียญสหรัฐแก่สายการบินและ 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐแก่ผู้ประกอบการขนส่งสินค้า เพื่อใช้ในการจ่ายค่าจ้าง, เงินเดือนและผลประโยชน์ของพนักงาน และจัดสรรเงินอีก 25,000 ล้านและ 4,000 ตามลำดับเพื่อเป็นสินเชื่อและค้ำประกันเงินกู้
  5. อัดฉีดงบ 117,000 ล้านเข้าโรงพยาบาลและการดูแลสุขภาพของผู้สูงวัย
  6. จัดหาเงิน 16,000 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อสนับสนุนคลังเวชภัณฑ์แห่งชาติ