posttoday

นักวิทย์ไขคำลวง ‘โควิด-19’ ถูกสร้างในห้องแล็บ?

22 มีนาคม 2563

นี่เป็นเวลาที่ต้องจับมือและก้าวเดินไปข้างหน้าเพื่อต่อสู้กับไวรัสนี้ด้วยกัน

ปักกิ่ง, 20 มี.ค. (ซินหัว) — ห้วงยามแห่งการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ที่แผ่ขยายไปทั่วโลกและคร่าชีวิตผู้คนอย่างต่อเนื่อง ทำให้ใครหลายคนเกิดคำถามคาใจว่าเจ้าไวรัสร้ายมีต้นกำเนิดจากแห่งหนใดกัน

เมื่อไม่นานนี้ คณะนักวิทยาศาสตร์นานาชาติลงความเห็นว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (SARS-CoV-2) ที่ก่อให้เกิดโรคโควิด-19 ไม่ใช่ไวรัสที่ถูกสร้างขึ้นในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์หรือถูกดัดแปลงอย่างมีวัตถุประสงค์แอบซ่อน

วารสารเนเจอร์ เมดิซิน (Nature Medicine) เผยแพร่บทความชื่อ “จุดกำเนิดใกล้เคียงของซาร์ส-ซีโอวี-2” (The proximal origin of SARS-CoV-2) เมื่อวันอังคาร (17 มี.ค.) ซึ่งเปิดเผยการวิเคราะห์ลักษณะต่างๆ ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

คริสเตียน แอนเดอร์เซน รองศาสตราจารย์ด้านภูมิคุ้มกันวิทยาและจุลชีววิทยา สถาบันวิจัยสคริปปส์ ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยทูเลน มหาวิทยาลัยซิดนีย์ มหาวิทยาลัยเอดินบะระ และมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เป็นคณะผู้ทำการศึกษาดังกล่าว

การวิเคราะห์อ้างอิงข้อมูลลำดับพันธุกรรมของโรคโควิด-19 ที่นักวิทยาศาสตร์จีนถอดรหัสได้หลังเกิดการระบาดไม่นาน โดยวิเคราะห์แม่แบบพันธุกรรมของโปรตีนหนาม (spike protein) หรือเกราะด้านนอกที่ไวรัสฯ ใช้โจมตีเซลล์ของมนุษย์และสัตว์

นักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้มุ่งศึกษาโปรตีนหนามและสันหลัง (backbone) ของไวรัสฯ จนพบว่าไวรัสฯ มีประสิทธิภาพสูงเมื่อแพร่สู่ร่างกายมนุษย์ แต่มีลักษณะต่างจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ที่เป็นที่รู้จักแล้ว โดยคล้ายคลึงกับไวรัสโคโรนาที่พบในค้างคาวและตัวนิ่ม

บทความระบุว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เป็นไวรัสโคโรนาลำดับที่ 7 ที่พบว่าทำให้เกิดการติดเชื้อในหมู่มนุษย์ ซึ่งถือเป็น “หลักฐานชัดเจนว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ไม่ได้เป็นผลผลิตจากการดัดแปลงอย่างมีวัตถุประสงค์”

“หากมีการดัดแปลงทางพันธุกรรมก็น่าจะพบการใช้เทคนิค reverse-genetic กับเบตาโคโรนาไวรัส (betacoronavirus) แต่ข้อมูลทางพันธุกรรมบ่งชี้อย่างมิอาจหักล้างว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ไม่ได้มาจากสันหลังของไวรัสที่ถูกใช้ก่อนหน้านี้”

ผลการศึกษาครั้งนี้เผยแพร่ในวันเดียวกับที่นักการเมืองชาติตะวันตกบางส่วนเรียกโรคโควิด-19 ว่า “ไวรัสจีน” (Chinese virus) ซึ่งสร้างความเข้าใจผิดแก่สาธารณชน

ไมเคิล ไรอัน ผู้อำนวยการบริหารโครงการภาวะฉุกเฉินทางสุขภาพขององค์การอนามัยโลก (WHO) กล่าวถึงการเรียกเช่นนั้นว่า “สิ่งสำคัญคือเราต้องระมัดระวังภาษาที่เราใช้ เพื่อมิให้นำไปสู่การเชื่อมโยงบุคคลใดบุคคลหนึ่งกับไวรัส”

“นี่เป็นเวลาที่ต้องจับมือและก้าวเดินไปข้างหน้าเพื่อต่อสู้กับไวรัสนี้ด้วยกัน”