posttoday

ถอดบทเรียนรัฐบาลไต้หวัน สู้โคโรนายังไงให้คะแนนนิยมเพิ่ม

13 มีนาคม 2563

ไต้หวันเริ่มมาตรการเชิงรุกตั้งแต่เดือน ธ.ค.ปีที่แล้วที่เชื้อเพิ่งเริ่มระบาด

ในช่วงที่เชื้อโคโรนาไวรัสระบาดรุนแรงในจีน ผู้เชี่ยวชาญต่างลงความเห็นว่าไต้หวันจะเป็นอีกหนึ่งจุดเสี่ยงที่เชื้อจะแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว เนื่องจากอยู่ห่างจากจีนแผ่นดินใหญ่เพียง 131 กิโลเมตร และยังมีการเดินทางระหว่างไต้หวันกับจีนทั้งโดยชาวไต้หวันเองและนักท่องเที่ยวชาวจีนวันละนับพันนับหมื่นคน

ผู้เชี่ยวชาญยังคาดว่าไต้หวันจะได้รับผลกระทบอย่างหนักจากโรค Covid-19 เนื่องจากการระบาดตรงกับช่วงเทศกาลตรุษจีนที่ชาวไต้หวันจะต้องเดินทางกลับบ้านเกิดกันมากที่สุดครั้งหนึ่งของปี

ทว่า ณ วันที่ 13 มี.ค. ไต้หวันพบผู้ติดเชื้อเพียง 50 ราย และเสียชีวิต 1 ราย แม้ตัวเลขจะน้อยเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเกาหลีใต้และญี่ปุ่น แต่ก็ไม่มีใครกังขาว่าไต้หวันจะปกปิดข้อมูล

ทั้งๆ ที่เป็นหนึ่งในพื้นที่เสี่ยง แล้วทำไมรัฐบาลไต้หวันถึงเอาอยู่

รัฐบาลไต้หวันมีการเตรียมพร้อมแต่เนิ่นๆ

หลังจากโรคซาร์สระบาดในไต้หวันเมื่อปี 2003 จนมีผู้เสียชีวิต 73 ราย ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดนอกจีนและฮ่องกง รัฐบาลไต้หวันก็ออกกฎหมายที่จะช่วยให้มาตรการรับมือโรคระบาดในอนาคตมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ที่เห็นได้ชัดเจนคือ การตั้งศูนย์บัญชาการสุขภาพแห่งชาติ (NHCC) เพื่อประสานงานและรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน อย่างกรณีโคโรนาไวรัสที่เป็นอยู่นี้ หลังจากพบเคสผู้ติดเชื้อที่เมืองอู่ฮั่นของจีน NHCC สั่งการให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขขึ้นไปตรวจเช็คอาการของผู้โดยสารบนเครื่องบินตั้งแต่วันที่ 31 ธ.ค.ปีที่แล้ว

ตั้งศูนย์บัญชาการกลาง

ทางการไต้หวันก่อตั้งศูนย์บัญชาการโรคระบาดกลาง (CECC) ที่นำโดยรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้ NHCC เมื่อวันที่ 20 ม.ค. เพื่อประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้บังคับใช้นโยบายและกลยุทธ์ที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ

2 เดือนผ่านไปหน่วยงานนี้นำนโยบายต่างๆ มาปฏิบัติแล้ว 124 ข้อ อาทิ ควบคุมการเดินทางเข้าประเทศทั้งทางน้ำและอากาศ ระบุตัวตนผู้ติดเชื้อ กักตัวผู้ต้องสงสัยติดเชื้อ จัดสรรทรัพยากร แถลงข่าวสถานการณ์รายวัน ขจัดข่าวปลอม ออกนโยบายทางเศรษฐกิจบรรเทาความเดือดร้องประชาชนและภาคธุรกิจ

แถลงข่าวอัพเดทสถานการณ์รายวันอย่างโปร่งใส

เฉินเจี้ยนเหริน รองประธานาธิบดีที่ผ่านการอบรมผู้เชี่ยวชาญระบาดวิทยาและยังพ่วงตำแหน่งอดีตรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขช่วงที่ไวรัสซาร์สระบาดเมื่อปี 2003 รับหน้าที่บัญชาการการรับมือและยังนั่งโต๊ะแถลงข่าวสถานการณ์ประจำวันด้วยตัวเองอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง

รวมไปถึงการให้คำแนะนำการเดินทาง การรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล ซึ่งข้อมูลที่แนะนำเหล่านี้ยังเข้าถึงทางออนไลน์ได้ด้วย

อนุมัติงบประมาณฉุกเฉิน

หลังจากความรุนแรงของโรคชัดเจนแล้ว สภานิติบัญญัติของไต้หวันได้ผ่านกฎหมายพิเศษอนุมัติงบประมาณ 60,000 ล้านเหรียญไต้หวัน หรือ 63,323 ล้านบาท เพื่อใช้ในการควบคุมการระบาด รวมทั้งการผลิตหน้ากากอนามัย

และเพื่อให้การควบคุมการแพร่ระบาดได้ผล รัฐบาลไต้หวันยังจัดหาหน้ากากอนามัยและบริการอื่นๆ ที่ตามปกติจะมีให้เฉพาะชาวไต้หวันเท่านั้น ให้กับเจ้าหน้าที่ทางการทูต พนักงานในสถานทูต และครอบครัว รวมทั้งนักท่องเที่ยวด้วย

จัดสรรหน้ากากอนามัย

รัฐบาลไต้หวันหยุดการส่งออกหน้ากากอนามัยและหันมาเดินเครื่องผลิตใช้ในบ้านอย่างเต็มกำลัง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เพียงพอ รัฐบาลไต้หวันจึงเข้าควบคุมการผลิตหน้ากากอนามัยทั้งหมดเพื่อให้เพียงพอกับความต้องการ โดยขณะนี้ไต้หวันผลิตหน้ากากอนามัยได้วันละ 10 ล้านชิ้น

เทคโนโลยีและบิ๊กดาตา

มาตรการของรัฐบาลส่วนใหญ่สำเร็จเพราะการบูรณาการเทคโนโลยีและบิ๊กดาตาเข้าด้วยกัน รัฐบาลสามารถนำข้อมูลของหน่วยงานประกันสุขภาพแห่งชาติและสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองมาประกอบกันเพื่อแกะรอยประวัติการเดินทางภายใน 14 วันของผู้ป่วยได้ภายในวันเดียว

นอกจากนี้ ข้อมูลการลงทะเบียนประชากรและประวัติการเดินทางเข้าไต้หวันของนักท่องเที่ยวยังช่วยรัฐบาลระบุตัวตนผู้ที่มีความเสี่ยงและติดตามอาการคนกลุ่มนี้ผ่านสมาร์ทโฟน และเมื่อวันที่ 18 ก.พ. รัฐบาลยังอนุญาตให้โรงพยาบาลเข้าถึงข้อมูลการเดินทางของผู้ป่วยเพื่อประสิทธิภาพในการติดตามผู้ที่ใกล้ชิด

ทักษะความสามารถของรัฐมนตรี

ออเดรย์ ถัง รัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลที่เป็นรัฐมนตรีที่อายุน้อยที่สุดของไต้หวันเจ้าของไอคิว 180 ยังลงมือเขียนโปรแกรมแผนที่จุดจำหน่ายหน้ากากอนามัยแบบเรียลไทม์ รวมทั้งใช้ปัญญาประดิษฐ์รวบรวมข้อมูลก่อนจะสรุปเป็นจุดเสี่ยงเพื่อเตือนพลเมือง จนได้รับคำชมจากทั้งในไต้หวันและผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในญี่ปุ่น

ความพยายามทั้งหมดทั้งมวลทั้งของรัฐบาลส่งผลให้คะแนนความนิยมในตัวประธานาธิบดี ไช่อิงเหวิน พุ่งขึ้น ผลการสำรวจความคิดเห็นประชาชนโดยมูลนิธิประชานิยมไต้หวันพบว่า ความนิยมในตัวไช่อิงเหวินเพิ่มขึ้นจาก 56.7% เมื่อเดือน ม.ค. เป็น 68.5% ในเดือน ก.พ. เท่ากับคะแนนนิยมในช่วงที่เพิ่งชนะการเลือกตั้งเมื่อปี 2016

ขณะที่เครือข่ายสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นให้คะแนนความนิยมไช่อิงเหวิน 82%

เรียบเรียงจาก 'Taiwan beating the odds on COVID-19' โดยสำนักข่าว Kyodo, 'Taiwan sets example for world on how to fight coronavirus' โดยสำนักข่าว ABC