posttoday

ในวิกฤต คนไทยต้องการผู้นำที่ให้ความหวังประชาชน

06 กุมภาพันธ์ 2563

ทักษะการสื่อสารของผู้นำประเทศถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้ส่งสารไปยังประชาชนได้อย่างถูกต้อง ทั้งยังเป็นการแสดงความเห็นอกเห็นใจ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน

คนไทยหลายคนคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า “น้ำท่วมก็ไปเลี้ยงปลา” “มะนาวแพงก็แพงมาทั้งชาติแล้ว ก็หน้าแล้งไง...ต่อไปนี้ไปปลูกกินเอง ปลูกคนละกระถาง ปัดโถ่ ช่วยตัวเองบ้างสิ” และถ้อยคำในทำนองนี้อีกมากมายที่ออกมาจากปากผู้นำประเทศอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

แม้กระทั่งในช่วงที่เกิดเหตุการณ์วิกฤตอย่างฝุ่นควันขนาดเล็ก หรือ PM 2.5 ปกคลุมท้องฟ้าทั่วประเทศ หรือช่วงที่โคโรนาไวรัสระบาด ก็ยังไม่วายมีคำพูดที่คนไทยฟังแล้วรู้สึกว่ามันน่าน้อยใจนัก

ในช่วงเวลาที่เชื้อไวรัสโคโรนากำลังระบาดอยู่แบบนี้ ทักษะการสื่อสารของผู้นำประเทศถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้ส่งสารไปยังประชาชนได้อย่างถูกต้อง ทั้งยังเป็นการแสดงความเห็นอกเห็นใจ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ทว่าในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่เชื้อโคโรนาระบาด ผู้นำของไทยกลับไม่สามารถแสดงศักยภาพด้านการสื่อสารเพื่อรับมือกับการระบาดของเชื้อโคโรนาไวรัส

การให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับสถานการณ์โคโรนาไวรัสแต่ละครั้งของ พล.อ.ประยุทธ์ ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่าท่านแสดงความคิดเห็นโดยไม่ได้รับทราบข้อมูลล่าสุดของสถานการ์หรืออย่างไร หรือเพราะความผิดพลาดจากการสื่อสาร

ครั้งแรกที่เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์คือการให้สัมภาษณ์ว่า ไม่มีคนไทยที่ติดอยู่ในเมืองอู่ฮั่นแสดงความจำนงว่าจะเดินทางกลับประเทศไทย

ทั้งๆ ที่ขณะนั้นนักศึกษาไทยให้สัมภาษณ์กับสื่อว่าอาหารเริ่มขาดแคลนและแจ้งไปยังสถานทูตแล้วว่าจะกลับไทย และคนไทยทั่วประเทศก็รับทราบข่าวสารนี้จากทั้งผ่านทีวีและโซเชียลมีเดีย แต่เหตุใดนายกรัฐมนตรีจึงกล่าวว่าไม่มีใครต้องการกลับบ้าน

หรือในกรณีที่หน้ากากอนามัยกำลังขาดแคลน หนำซ้ำราคายังพุ่งไปหลายเท่าตัวจากภาวะปกติ พล.อ.ประยุทธ์ก็ให้สัมภาษณ์โดยอ้างข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ว่าสินค้ายังมีพอเพียง แต่จากที่คนไทยประสบมาเหมือนกันก็คือ ไม่ว่าจะซูเปอร์มาร์เก็ตในห้างสรรพสินค้าใหญ่ ร้านขายยา ร้านสะดวกซื้อ ไปตามหากี่ร้านๆ ก็กลับออกมามือเปล่า

นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ยังเคยบอกคนไทยว่าใครที่ช่วยเหลือตัวเองได้ ก็ช่วยเหลือตัวเองบ้าง ถ้ามีสตางค์ก็ช่วยซื้อกันเองบ้าง แต่ภาพที่ผู้เขียนเห็นคือตอนนี้คนไทยกำลังช่วยเหลือตัวเองเท่าที่ทำได้ ไม่ว่าจะเป็นการสวมหน้ากากอนามัย หรือใช้เจลล้างมือ ไม่มีใครงอมืองอเท้ารอให้รัฐบาลแจกหน้ากากอนามัย

สิ่งที่คนไทยต้องการให้นายกฯ ช่วยจริงๆ คือควบคุมราคาหน้ากากอนามัยและดูแลไม่ให้สินค้าขาดตลาดเท่านั้น

ปัญหานี้นอกจากจะสะท้อนการขาดทักษะในการสื่อสารแล้ว ยังแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไม่มีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาที่สามารถคาดการณ์ได้ไม่อยาก ในเมื่อเกิดเชื้อไวรัสโคโรนาระบาด ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่หน้ากากอนามัยและเจลล้างมือจะเป็นที่ต้องการและมีราคาสูงตามกฎอุปสงค์อุปทาน

แทนที่รัฐบาลจะเข้ามาจัดการปัญหาที่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้าและป้องกันแก้ไขได้ กลับบอกย้ำแต่ว่าหน้ากากอนามัยยังมีเพียงพอ และขอความร่วมมือไม่ให้ผู้ค้ากักตุนและขึ้นราคาสินค้า ในขณะที่รัฐบาลไต้หวันอกประกาศจำกัดการซื้อและลดราคาเหลือชิ้นละ 6 เหรียญไต้หวัน หรือ 6.21 บาท

กลับมาที่ทักษะการพูดของผู้นำ การแสดงความคิดเห็นในหลายประเด็นของ พล.อ.ประยุทธ์ มักจะให้ความรู้สึกว่ารัฐบาลไม่ใส่ใจประชาชน เต็มไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ไม่เป็นประโยชน์

หลายคนถึงกับเปรียบเทียบการตอบคำถามของ พล.อ.ประยุทธ์กับผู้นำประเทศอื่น เช่น นายกรัฐมนตรี ลีเซียนลุง ของสิงคโปร์ ที่ตอบคำถามผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโคโรนาไวรัสในประเทศได้อย่างคล่องแคล่ว เต็มไปด้วยข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ไม่แสดงกิริยาไม่เหมาะสมกับผู้สื่อข่าว

นายกรัฐมนตรี ลีเซียนลุง ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวระหว่างเดินทางไปเยี่ยมศูนย์โรคติดต่อแห่งชาติ (NCID) ที่รักษาผู้ติดเชื้อโคโรนาไวรัส เมื่อวันที่ 31 ม.ค.ที่ผ่านมาว่า สิงคโปร์สามารถตรวจพบผู้ติดเชื้อได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังคงเฝ้าระวังต่อไป เพราะการแพร่ระบาดยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดในเร็วๆ นี้

“ผมคิดว่ารัฐบาลมีแผนรับมือ เรามีทีมผู้เชี่ยวชาญและเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และประชาชนก็มีความตื่นตัว รัฐบาลกำลังทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ ขณะที่ประชาชนก็ต้องรักษาอนามัย เช่น การล้างมือ ไม่จับใบหน้าโดยไม่จำเป็น เพราะเชื้อโรคอาจเข้าสู่ร่างกาย”

นอกจากนี้ ยังมีตำนานเล่าขานกันว่า ครั้งหนึ่งสมัยที่ฝรั่งเศสประสบภาวะข้าวยากหมากแพง พระนางมารี อองตัวเน็ตเคยตรัสว่า “ถ้าไม่มีขนมปังก็ไปกินเค้กสิ” แม้ว่าภายหลังประโยคนี้จะได้รับการพิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่เรื่องจริง แต่ก็เป็นตัวอย่างถึงวิธีการพูดของผู้นำได้

ท่ามกลางวิกฤตอย่างฝุ่น PM 2.5 และการแพร่ระบาดของเชื้อโคโรนาไวรัส ประชาชนชาวไทยต้องการทั้งความชัดเจนของข้อมูลว่ารัฐบาลมีมาตรการรับมือปัญหาเหล่านี้อย่างไร และความหวังว่าเราจะผ่านวิกฤตไปด้วยกัน

ไม่ใช่ต้องแก้ปัญหาด้วยตัวเองแล้ว ยังต้องถูกผู้นำตำหนิว่างอมืองอเท้าไม่ช่วยเหลือตัวเอง หวังพึ่งแต่รัฐบาล