posttoday

หยุดเชื่อทฤษฎีแหกตา สงครามชีวภาพถล่มอู่ฮั่นไม่มีจริง

03 กุมภาพันธ์ 2563

สิ่งที่ระบาดเร็วพอๆ กับไวรัสคือข่าวลือ รองลงมาคือข่าวปลอม และรองลงมาคือทฤษฎีสมคบคิด ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องที่ดีทั้งสิ้น

สิ่งที่ระบาดเร็วพอๆ กับไวรัสคือข่าวลือ รองลงมาคือข่าวปลอม และรองลงมาคือทฤษฎีสมคบคิด ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องที่ดีทั้งสิ้น

โดยเฉพาะทฤษฎีสมคบคิดที่ว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เป็นผลงานของบางประเทศที่ใช้โจมตีจีน ขณะเดียวกันก็มีอีกทฤษฎีสมคบคิดที่เชือว่าจีนปล่อยไวรัสที่ทำการตัดแต่งจากห้องทดลองออกมา ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งบใจหรือไม่ก็ตาม

ผู้เขียนอยากหัวเราะทฤษฎีสมคบคิดเหล่านี้ แต่ก็หัวเราะไม่ออกเพราะมีคนเชื่อจริงๆ จังๆ

ก่อนอื่นเราต้องมาทำความรู้จักกันก่อนว่าทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy theory) คืออะไร?

นิยามของมันอาจมีหลากหลาย แต่หากจะสรุปสั้นๆ ก็คือ นำข้อมูลต่างๆ ที่ยืนยันข้อเท็จจริงไม่ได้มาผสมรวมกันจนกลายเป็นความเชื่อชุดหนึ่ง ส่วนใหญ่เชื่อว่าเหตุการณ์หนึ่งมักจะไม่ได้เกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ แต่เกิดขึ้นเพราะมีคนบงการให้มันเกิดขึ้นมาเพื่อหวังผลอะไรบางอย่าง

นักจิตวิทยาเตือนว่า คนที่เชื่อทฤษฎีสมคบคิดจะเป็นภัยต่อสุขภาพจิต และเชื่อมโยงกับโรคจิตหวาดระแวงและอาการไม่ยอมรับความจริง

ทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับไวรัสอู่ฮั่นที่แพร่หลายที่สุดในช่วงแรกของการระบาด คือความเชื่อ (ผิดๆ) ที่ว่า ไวรัสตัวนี้คืออาวุธชีวภาพที่สหรัฐนำมาใช้โจมตีจีน

ถ้าเราสาวไปถึงแหล่งที่มาของทฤษฎีนี้จะพบว่าต้นตอเกือบทั้งหมดมาจากสื่อที่สนับสนุนรัฐบาลรัสเซีย เช่น

เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2563 สื่อของรัฐบาลรัสเซีย RIA Novosti อ้างคำกล่าวของวลาดิมีร์ จิรินอฟสกี้ หัวหน้าพรรค LDPR ของรัสเซีย ว่า "โคโรนาไวรัสของจีนคือการโจมตีของสหรัฐ" เพราะสหรัฐกลัวว่าจะไม่สามารถเอาชนะจีนในทางเศรษฐกิจได้ และไข้หวัดนกก็เป็นการโจมตีด้วยจุดประสงค์เดียวกัน

วลาดิมีร์ จิรินอฟสกี้ คนนี้เป็นนักการเมืองฝ่ายต่อต้านประเทศตะวันตกตัวฉกาจ และเป็นนักชาตินิยมรัสเซียตัวยงถึงขนาดถูกตั้งแง่ว่าเป็นพวกเผด็จการฟาสชิสต์ แน่นอนเขาเป็นฝ่ายเดียวกับวลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย

หลังจากนั้นดูเหมือนว่าสื่อสายรัสเซียจะเล่นประเด็นนี้ไม่หยุด

วันที่ 25 มกราคม 2563 สถานีโทรทัศน์ 5 Kanal อ้างว่า เมื่อ 2 ปีที่แล้วมหาวิทยาลัยอู่ฮั่นเปิดห้องปฏิบัติการชีวภาพที่มีความปลอดภัยสูงซึ่งทำการวิจัยเชื้อที่อันตรายที่สุดในโลก มีความเป็นไปได้ที่ไวรัสจะหลุดจากห้องแล็บ แต่โอกาสที่เป็นไปได้มากกว่านั้นก็คือ ไวรัสนั้นมาจากภายนอก บริษัทอเมริกันเป็นฝ่ายที่ได้รับผลประโยชน์จากไวรัส ประเทศสหรัฐเองก็จะได้รับประโยชน์ สหรัฐเป็นประเทศเดียวที่มีห้องปฏิบัติการทางชีวภาพ 400 แห่ง ไม่เพียงแต่ตั้งอยู่รอบๆ ในรัสเซียเท่านั้น แต่ยังรวมถึงรอบๆ จีนด้วย

วันที่ 27 มกราคม 2563 REN TV อ้างว่า การระบาดที่จีนดูเหมือนเป็นการสร้างสถานการณ์ขึ้นมา สื่อรายนี้อ้างว่า สหรัฐกำลังใช้เทคโนโลยีชีวภาพแบบใช้คู่ ซึ่งสามารถรักษาโรคก็ได้ และยังสามารถใช้โรคฆ่ามนุษย์ได้ บริษัทอเมริกันจะได้ประโยชน์จากสิ่งนี้ โดยกำลังพัฒนาโรคใหม่เพื่อผลกำไร ตัวอย่างของห้องปฏิบัติการของสหรัฐที่มีการพัฒนาโรคที่ร้ายแรงคือ Lugar Laboratory ในประเทศจอร์เจีย

Lugar Laboratory หรือ Lugar Research Center ในประเทศจอร์เจีย (ที่ตั้งอยู่ใกล้รัสเซีย) ถูกรัสเซียโจมตีมาตลอดว่าพัฒนาอาวุธชีวภาพเพื่อเล่นงานประเทศศัตรูของสหรัฐ

และเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2563 สื่อแท็บลอยด์ของรัสเซียสายโรปรัฐบาลปูติน  Komsomolskaya Pravda ตั้งข้อสังเกตว่า "โคโรนาไวรัสมุ่งเล่นงานเฉพาะชนชาติ" และอ้างว่า โคโรนาไวรัสที่จีนเป็นอาวุธทางพันธุกรรมที่ออกแบบมา โดยมีเป้าหมายเลานงานคนเชื้อชาติเอเชียโดยเฉพาะ การระบาดในจีนเป็นประโยชน์ต่อรัฐบาลสหรัฐที่ต้องการกำราบจีนให้อยู่ในกำมือ ที่เรายกตัวอย่างทฤษฎีสมคบคิดเหล่านี้ไม่ใช่จะโฆษณาให้เชื่อ แต่เพื่อให้เห็นลักษณะการประโคมความเชื่อที่ไม่สอดคล้องกับเหตุและผล

ไม่ต้องถึงกับใช้หลักการวิทยาศาสตร์ที่ซับซ้อน เพียงแต่สามัญสำนึก เราก็คงจะนึกออกไม่ยากว่าหากสหรัฐใช้ไวรัสโคโรนามาถล่มจีน มีหรือที่สหรัฐจะรอดพ้นจากอาวุธของตัวเอง และเห็นได้ว่าผู้ติดเชื้อในสหรัฐนั้นมากขึ้นทุกวัน

หากมันเป็นอาวุธชีภาพจากสหรัฐจริง จีนเพียงแค่เปิดประเทศอ้าซ่าให้ประชาชนเดินทางไปสหรัฐเท่านั้น แต่นี่จีนเลือกที่จะปิดประเทศตัวเอง โดยที่สหรัฐยังไม่ได้ทำอะไรนอกจากยกเลิกเที่ยวบินไปจีน

ในโลกที่ไร้พรมแดน การใช้อาวุธชีวภาพแบบเหมาเข่งแบบนี้มีแต่จะตายกันหมดโลก และคนที่ตั้งทฤษฎีนี้คงไม่ทราบว่าการใช้อาวุธชีวภาพจะต้องเล็งเป้าหมายที่ควบคุมได้ ไม่เช่นนั้น "ดาบนั้นจะคืนสนอง" เจ้าของอาวุธเสียเอง

นอกจากทฤษฎีสหรัฐใช้เชื้อโรคเล่นงานจีนแล้ว ยังมีทฤษฎีจีนทำเชื้อหลุดออกมาจากแล็บอีกด้วย

เช่น ดานี โชฮัม อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองกองทัพอิสราเอลอ้างว่า สถาบันไวรัสวิทยาอู่ฮั่นตั้งใจที่จะปล่อยไวรัสออกมาเอง เขาอ้างว่าสถาบันนี้เป็นเพียงสถาบันเดียวที่สามารถจัดการกับไวรัสที่ทำให้ถึงตายได้และยังเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับโครงการสงครามชีวภาพของจีน

ดานี โชฮัม (Dany Shoham) เป็นผู้ที่ศึกษาโครงการอาวุธชีวภาพของจีน แต่เขากลับสันนิษฐานลอยๆ โดยไม่ให้รายละเอียดเพิ่มว่าทำไมจีนจึงตั้งใจปล่อยไวรัสออกมา

เช่นเดียวกับทฤษฎีอาวุธชีวภาพของสหรัฐ การตั้งสมมติฐานว่าจีนปล่อยของออกมาเล่นตัวเองก็ไร้เหตุผลที่สุด เพราะคงไม่มีใครที่จะทดลองปล่อยไวรัสออกมาเพื่อบ่อนทำลายบ้านเมืองตัวเอง ในกรณีของจีนนั้นเศรษฐกิจก็อาการร่อแร่อยู่แล้วจากสงครามการค้า ยิ่งมาถูกโจมตีจากไวรัสเรายิ่งคาดหวังได้เลยว่า จีนอาการหนักแน่นอนในปีนี้

หากประเทศใดก็ตามจะเล่นงานจีน ก็เล่นงานด้วยสงครามการค้าอย่างสหรัฐก็เพียงพอแล้ว

แต่ทฤษฎีพวกนี้ตายยาก หลังจากที่ทีมแพทย์ของโรงพยาบาลราชวิถีเปิดเผยความสำเร็จการใช้สูตรยารักษาไวรัสโคโรนาสายพันธุ์โดยใช้ยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่และเอชไอวี ก็มีชาวเน็ตบางคนชี้ว่า "นี่ไงล่ะ ยารักษาเอชไอวีใช้กับไวรัสนี้ได้ แสดงว่ามันต้องมีการตัดต่อพันธุกรรมไวรัสผสมกับเชื้อเอชไอวี"

ความเชื่อนี้น่าจะเริ่มมาจากรายงานการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์อินเดียที่อ้างว่า มีนักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งตัดแต่งพันธุกรรมไวรัสโดยนำยีนของเชื้อเอชไอวีมาใส่ในโคโรนาไวรัส ทำให้เชื้อนี้สามารถใช้ยาต้านเอชไอวีรักษาได้

แต่ทันทีที่เผยแพร่ในแพล็ตฟอร์ม bioRxiv เมื่อวันที่ 31 มกราคม รายงานดังกล่าวก็ถูกโจมตีจากผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกว่ามีข้อบกพร่อง และที่จริงแล้วความคล้ายคลึงของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่กับเอชไอวีนั้นมีเล็กน้อยมาก และยังไม่ใช่ไวรัสที่พิเศษ เพราะ 96% ของ sequence เข้ากันกับโคโรนาไวรัสจากค้างคาว

จนกระทั่ง bioRxiv ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มวารสารทางชีววิทยา ต้องถอดรายงานชิ้นนี้ออกไป ที่สำคัญคือรายงานนี้เป็น "non-peer-reviewed" คือไม่ใช่งานวิชาการอย่างเต็มรูปแบบที่จะเปิดโอกาสให้นักวิชาการคนอื่นแย้งได้ตามหลักวิชาการ

สื่อก็มีบทบทสำคัญในการสร้างความเชื่อผิดๆ นี้ โดยใช้การจับแพะชนแกะข้อมูลต่างๆ เอามายำแล้วสร้างเรื่องราวขึ้นมาให้ผู้อ่านรู้สึกตื่นเต้น

ทฤษฎีพวกนี้ไม่ใช่ข่าวปลอมเพราะมันเป็นทฤษฎี ดังนั้นจึงยากที่จะเอาผิดในฐานะข้อมูลอันเป็นเท็จ แม้แต่ในจีนตำรวจพยายามเอาผิดกับฟอรั่มที่พูดคุยเรื่องข่าวลือ/สมมติฐานเกี่ยวกับไวรัส แต่ศาลสูงของจีนแนะตำรวจว่าไม่ควรใช้มาตรการรุนแรงกับผู้ที่พูดคุยเกี่ยวกับข่าวลือ เพราะศาลเห็นว่าหากประชาชนเชื่อข่าวลือบางข่าวเกี่ยวกับความน่ากลัวของไวรัส ก็อาจจะป้องกันตัวได้ดีกว่านี้

ทั้งนี้ จึงขึ้นกับวิจารณญาณของผู้อ่านทั้งหลายว่าจะเชื่อของปลอม หรือจะเชื่อของจริง

บทวิเคราะห์โดย กรกิจ ดิษฐาน