posttoday

ผู้นำประเทศไม่ควรมั่นใจเกินไปว่ารับมือไวรัสอู่ฮั่นได้

23 มกราคม 2563

ถ้อยคำต่อมาที่นายกรัฐมนตรีกล่าวยิ่งเปิดเผยให้เห็นว่า ความเด็ดขาดของไทยที่จะรับมือไวรัสอู่ฮั่นยังห่างชั้นจาก "เผด็จการ" จีนนัก

ทุกๆ วันที่สนามบินสุวรรณภูมิ มีเที่ยวบินระหว่างกรุงเทพฯ กับอู่ฮั่นถึงวันละ 10 เที่ยวบิน แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการระงับเที่ยวบินทั้งหมด ทั้งๆ ที่จีนประกาศระงับการเดินทางออกจากเมืองด้วยการคมนาคมเกือบทุกประเภท รวมถึงการเดินทางด้วยเครื่องบิน

ไทยเป็นประเทศแรกที่พบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือไวรัสอู่ฮั่น (2019-nCoV) เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2563 เป็นหญิงวัย 61 ปีจากเมืองอู่ฮั่น ซึ่งมีอาการไข้ตั้งแต่อยู่ที่เมืองอู่ฮั่นแต่ก็ยังเดินทางมายังไทยโดยตรงจากอู่ฮั่นมาถึงสุวรรณภูมิเมื่อวันที่ 8 มกราคม เมื่อผ่านเครื่องตรวจอุณหภูมิที่สนามบินสุวรรณภูมิ หญิงรายนี้ถูกกักตัวในทันที กว่าจะรู้ว่าหญิงคนนี้ป่วยเป็นไวรัสอู่ฮั่นก็ต้องใช้เวลาอีก 4 วันต่อมา

หลังจากนั้นไทยก็พบผู้ติดเชื้อไวรัสอู่ฮั่นอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดเดินทางมาจากอู่ฮั่น ซึ่งรวมถึงคนไทยอายุ 73 ปีที่เดินทางกลับจากอู่ฮั่นเมื่อวันที่ 22 มกราคม

เรื่องนี้ไม่เป็นผลดีต่อประเทศไทยเลย อย่างน้อยก็ในแง่ความเชื่อมั่นของประชาชน ยังไม่ต้องมองไปไกลถึงความกลัวของชาวต่างชาติที่คงจะอดคิดไม่ได้ว่า ประเทศไทยอาจจะกลายเป็นแหล่งของการระบาดที่น่ากลัวจนไม่อยากจะเดินทางมาเที่ยว

แน่นอนว่า รัฐบาลและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทำงานอย่างขันแข็งและมีประสิทธิภาพมาก โดยไทยเราเริ่มการตรวจสอบอาการโรคทางเดินหายใจกับผู้ที่เดินทางเข้าประเทศมาตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2563 ซึ่งถือว่าเร็วมากเมื่อเทียบกับการพบผู้ติดเชื้อกลุ่มแรกในจีนที่พบในวันที่ 31 ธันวาคม 2562

นี่คือผลงานที่น่าชื่นชมและคนไทยสมควรจะต้องปรบมือให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกคน

แต่ความรู้สึกของคนไทยตอนนี้คือกังวลกับการเข้ามาของนักท่องเที่ยวชาวจีน โดยเฉพาะในช่วงตรุษจีนที่ตามปกติจะมีคลื่นนักท่องเที่ยวเข้ามามหาศาล

บางคนจึงเริ่มคิดว่า การห้ามชาวอู่ฮั่นเดินทางเข้าประเทศอาจจะเป็นทางออกที่ดี เพราะจะช่วยทำให้ความกังวลของคนไทยลดลง เมื่อความกังวลลดลง ความรู้สึกในแง่ลบต่อนักท่องเที่ยวจีนก็จะไม่บานปลายกลายเป็นการเหมารวม

สิ่งที่เราไม่ต้องการคือความรู้สึกในทางลบระหว่างไทยกับจีน โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่สับสนและซับซ้อนเช่นนี้

ในตอนนี้ สายการบินบางแห่งงดบินไปยังอู่ฮั่นแล้ว รัฐบาลบางประเทศเริ่มตรวจสอบผู้ที่เดินทางมาจากอู่ฮั่นอย่างละเอียด แต่วิธีการอย่างหลังเราได้ทำมาระดับหนึ่งและระยะหนึ่งแล้ว แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะหยุดผู้ติดเชื้อไม่ให้เข้ามาในไทยได้

บางคนเริ่มคิดว่า บางทีไทยอาจจะต้องเด็ดขาดเหมือนที่จีนตัดสินใจเด็ดขาดที่จะปิดเมืองอู่ฮั่น และสร้างความเชื่อมั่นด้วยการตั้งระบบตรวจสอบทั้งประเทศ

การสกัดกั้นผู้ที่เดินทางมาจากอู่ฮั่นจะยังเป็นการซ้อมรับสถานการณ์ที่อาจจะลุกลามบานปลาย หากมีผู้ติดเชื้อมากขึ้นในเมืองอื่นๆ ที่ไม่ใช่อู่ฮั่น พราะในเวลานี้จีนสั่งปิดอีก 2 เมืองที่อยู่ไม่ไกลจากอู่ฮั่นแล้ว

อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงข้อเสนอ การปิดเส้นทางเชื่อมต่อกับอู่ฮั่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยาก เหมือนกับที่ ทอม อิงเกิลสบี้ ผู้อำนวยการ Johns Hopkins Center for Health Security กล่าวว่า ขนาดของอู่ฮั่นใหญ่โตมาก และมีการเชื่อต่อกับโลกภายนอกนับหมื่นเส้นทาง ทั้งเข้าและออก เขาบอกว่าการปิดเมืองอู่ฮั่นมีความซับซ้อนและผลด้านลบที่สูงมากๆ

การปิดเส้นทางเชื่อต่อกับอู่ฮั่นก็จะส่งผลหนักหน่วงต่อไทยเช่นกัน คำถามก็คือ คนไทยที่ต้องการแบบนี้ยอมรับผลกระทบได้หรือไม่?

แน่นอนว่ารัฐบาลไทยไม่อาจรับได้ ดังงั้นเราจึงยังไม่มีมาตรการสกัดกั้นที่เด็ดขาด ถึงขนาดปิดทางผู้คนจากอู่ฮั่นเข้ามาในประเทศ

ดังนั้นกับคำถามที่ว่า "ถึงเวลาที่ไทยจะต้องปิดเส้นทางเชื่อมต่อกับอู่ฮั่นหรือยัง?"

คำตอบก็คือยัง

แต่เรายังมีมาตรการที่เด็ดขาดน้อยกว่าเอามาใช้ประคับประคองสถานการณ์ได้ เช่น แนะนำไม่ให้ประชาชนเดินทางไปอู่ฮั่นโดยไม่จำเป็น หรือหากจำเป็นต้องไปอู่ฮั่นก็ต้องยอมรับว่าอาจถูกกักตัวที่จีนและไทย

หรืออาจทำแบบสิงคโปร์ ด้วยการตั้งทีมปฏิบัติงานเฉพาะกิจหลายกระทรวงเพื่อรับมือกับวิกฤต

หรืออาจทำแบบฟิลิปปินส์ที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนหนึ่ง ยขื่นหนังสือให้สำนังานการบินพลเรือนแห่งฟิลิปปินส์ ระงับเที่ยวบินจากอู่ฮั่นมายังฟิลิปปินส์ทั้งหมด

หรือจะทำแบบ รองนายกรัฐมนตรีเวียดนาม "โด่ ซวน เตวียน" ที่บอกว่า เวียดนามกำลังพิจารณาปิดชายแดนกับจีนหากมีความจำเป็น

หรืออาจทำแบบญี่ปุ่นเริ่มตรวจตรานอกเหนือจากอู่ฮั่นแล้ว โดยรัฐบาลขอให้สายการบินที่บินจากจีนเข้าญี่ปุ่นทั้งหมด กระตุ้นให้ผู้โดยสารแจ้งเตือนลูกเรือว่ามีอาการป่วยเหรือไม่

นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นบอกว่า "เราจะพยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อป้องกันการติดเชื้อ"

ขณะที่นายกรัฐมนตรีของไทยกล่าวด้วยความมั่นอกมั่นใจว่า "เราควบคุมได้มาตลอด หลายอย่างดำเนินการมาล่วงหน้าแล้ว ไม่อย่างนั้นเราคงป้องกันไม่ได้อย่างนี้"

ได้ยินคำกล่าวของพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชาแล้วหลายคนคงอดเลิกคิ้วด้วยความกังขาไม่ได้ เพราะที่นายกฯ ว่า "ไม่อย่างนั้นเราคงป้องกันไม่ได้อย่างนี้" มันดูขัดๆ กับความจริงที่ว่าไทยเป็นประเทศแรกที่มีผู้ติดเชื้อนอกจีน และมีผู้ติดเชื้อมากที่สุดนอกจีน

พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังบอกว่า "ลองเปรียบเทียบที่ประเทศจีนวันนี้เขาห้ามบุคคลออกจากเมืองอู่ฮั่นโดยเด็ดขาด ซึ่งเขาห้ามได้ ประเทศไทยห้ามได้ไหม มันต่างกันตรงนี้" (อ้างอิงจากการรายงานของโพสต์ทูเดย์ วันที่ 23 มกราคม 2563)

ถ้อยคำต่อมาที่นายกรัฐมนตรีกล่าวยิ่งเปิดเผยให้เห็นว่า ความเด็ดขาดของไทยที่จะรับมือไวรัสอู่ฮั่นยังห่างชั้นจาก "เผด็จการ" จีนนัก

บทวิเคราะห์โดย กรกิจ ดิษฐาน