posttoday

เวียดนามโต7%แต่ส่อแววแผ่ว อาจไม่รอดหากสงครามการค้าลากยาว

27 ธันวาคม 2562

หากสงครามการค้ายืดเยื้อต่อไป ประเทศอย่างเวียดนามก็จะหลีกเลี่ยงผลกระทบไม่พ้นเช่นกัน

ในปีนี้ เศรษฐกิจของเวียดนามปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างน่าประทับใจถึง 7% แม้ว่านานาประเทศจะบาดเจ็บกันถ้วนหน้าจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจโลก

ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนลากยาวมาเป็นเวลา 18 เดือนแล้ว แต่การส่งออกของเวียดนามก้าวกระโดดอย่างมากโดยเฉพาะส่วนที่ส่งออกไปยังสหรัฐ อันเป็นผลมาจากนักธุรกิจต่างโยกย้ายฐานผลิตและสินค้าจากจีนมายังเวียดนาม เพราะเห็นว่าเป็นศูนย์กลางการผลิตที่ปลอดภัยและราคาถูกกว่า

จีดีพีของปี 2019 สูงกว่าเป้าหมายรัฐบาลเวียดนามตั้งไว้ที่ 6.8% มาแตะระดับ 7.02% ตามข้อมูลของสำนักงานสถิติทั่วไปในกรุงฮานอย ส่วนมูลค่าการซื้อขายถึง 517,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปีนี้

ผลลัพธ์นี้น่าประทับใจหากจะพิจารณาจากบริบทแวดล้อมทั่วโลกที่การเติบโตชะลอตัวและความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่ทวีความรุนแรงขึ้น

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์นี่เป็นเพียงผลประโยชน์ระยะสั้น หากสงครามการค้ายืดเยื้อต่อไป ประเทศอย่างเวียดนามก็จะหลีกเลี่ยงผลกระทบไม่พ้นเช่นกัน

เมื่อพิจาณณาการเติบโตของภาคส่งออกพบว่ายังลดลงเรื่อยๆ ตามรายงานของธนาคารโลก (World Bank) โดยลดลงจาก 21% ในปี 2017 เหลือแค่ 8% ในปี 2019

นักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่าการชะลอตัวแสดงให้เห็นว่าเวียดนามไม่ได้รอดพ้นจากผลพวงของภาวะช็อคทางเศรษฐกิจ และการพัฒนาเศรษฐกิจของเวียดนามก็ยังจำกัดอยู่แค่ในภาคการผลิตเป็นหลัก

โทจุงแทง ศาสตราจารย์เศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์แห่งชาติฮานอยกล่าวกับสำนักข่าว AFP ว่า เวียดนามไม่ได้พัฒนาขึ้นในแง่ของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

เขากล่าวเสริมว่าเวียดนามจำเป็นจะต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับยุคดิจิทัลมากขึ้นโดยการส่งเสริมคุณภาพของกำลังแรงงานเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

เวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่เติบโตเร็วที่สุดในเอเชียในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การเติบโตของเวียดนามได้รับแรงผลักดันจากการส่งออกสินค้าเสื้อผ้าและรองเท้าที่ผลิตในราคาถูก ไปจนถึงสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูงเช่นโทรศัพท์ Samsung และหน่วยประมวลผลกลางของคอมพิวเตอร์ของบริษัท Intel

เวียดนามยังได้ลงนามในข้อตกลงการค้าเสรีครั้งสำคัญกับสหภาพยุโรปเมื่อต้นปีที่ผ่านมาซึ่งตามข้อตกลงจะมีลดภาษีสินค้าเกือบทั้งหมด