posttoday

เศรษฐกิจดีไม่ได้ทำให้คนหยุดคิดแยกประเทศ

19 พฤศจิกายน 2562

บทวิเคราะห์สถานการณ์โลกโดยกรกิจ ดิษฐาน


บทวิเคราะห์สถานการณ์โลกโดยกรกิจ ดิษฐาน


หนังสือพิมพ์ The New York Times เผยแพร่เอกสารลับของรัฐบาลจีนเกี่ยวกับนโยบายควบคุมชาวซินเจียง ซึ่งมีข้อมูลที่น่าสนใจอยู่ชิ้นหนึ่งเป็นถ้อยคำของประธานาธิบดีสีจิ้นผิงที่กล่าวว่า ความเจริญทางเศรษฐกิจไม่ได้ช่วยหยุดความต้องการของชาวซินเจียงที่จะแยกตัวเป็นเอกราช

คำกล่าวนี้มีความสำคัญมาก เพราะในประวัติศาสตร์อันยาวนานของจีน มีหลักการหนึ่งซึ่งใช้มัดใจประชาชนไม่ให้ก่อความวุ่นวาย คือการทำให้ประชาชนท้องอิ่มและมีความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ ผู้ปกครองจีนแต่โบราณเชื่อว่า เมื่อประชาชนมีกินมีใช้ พวกเขาจะไม่ลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาล

ในยุคโบราณมีหลักการ "อาณัติสวรรค์" (เทียนมิ่ง) จักรพรรดิแต่ละราชวงศ์จะอ้างว่าอาณัตินี้ในการปกครอง และเรียกตนเองว่าเป็น "โอรสสวรรค์" (เทียนจื่อ) แต่อาณัติสวรรค์ไม่ใช่สิ่งถาวรเพราะหากจักรพรรดิปกครองอย่างไม่เป็นธรรม สวรรค์และโลกจะปั่นป่วน สัญญาณแรกคือภัยธรรมชาติ ติดตามมาด้วยภัยอดอยาก ความล่มสลายทางเศรษฐกิจ และตามด้วยการลุกฮือของประชาชน นี่คือการสิ้นสุดของอาณัติสวรรค์

จะเห็นได้ว่าอาณัติสวรรค์เกี่ยวข้องกับปากท้องของประชาชน แม้แต่รัฐบาลคอมมิวนิสต์ที่ไม่เชื่อเรื่องอาณัติสวรรค์แต่เชื่อเรื่องการปฏิวัติโดยพลังประชาชน ก็ยังเชื่อว่าประชาชนจะไม่ปฏิวัติกลับหากพรรคฯ ทำให้พวกเขาท้องอิ่มและก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ

ในยุคนี้ การเติบโตทางเศรษฐกิจจึงเป็น "อาณัติสวรรค์" ของรัฐบาลจีน หากตัวเลขแย่การปกครองของพรรคฯ จะสั่นคลอน ดังนั้น ผู้นำจีนจึงคิดว่า ความเจริญทางเศรษฐกิจจะช่วยหยุดความต้องการของชาวซินเจียงที่จะแยกตัวเป็นเอกราช

ความคิดนี้ยังสะท้อนให้เห็นจากคำกล่าวของหยางกวง โฆษกของสำนักงานกิจการฮ่องกงและมาเก๊าของรัฐบาลจีนที่เรียกร้องให้คนฮ่องกงสนใจกับการพัฒนาเศรษฐกิจและยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของชาวฮ่องกงเอง คำกล่าวนี้สะท้อนความเชื่อของรัฐบาลจีนว่าเมื่อคนฮ่องกงหันกลับสนใจกับเรื่องเงินๆ ทองๆ พวกเขาจะลืมความคิดที่จะเป็นปฏิปักษ์กับจีน

แต่เราเห็นแล้วว่าคนฮ่องกงจำนวนไม่น้อยก็ยังสนับสนุนการประท้วง ทั้งๆ ที่ความวุ่นวายฉุดเศรษฐกิจให้ถดถอยครั้งแรกในรอบ 10 ปี ธุรกิจต่างๆ พังพินาศกันถ้วนหน้า แสดงว่าเรื่องปากท้องไม่ใช่ความจำเป็นเฉพาะหน้าอีกต่อไป

เป็นไปได้หรือไม่ว่ารัฐบาลจีนคิดสูตรผิด เพราะแทนที่คนจะเลิกคิดเรื่องการเมืองเมื่อรวยแล้ว กลายเป็นว่าคนจะยิ่งสนใจการเมืองเมื่อมีกินมีใช้ เพราะมีเวลาว่างมากขึ้น?

ในประเทศจีนมีคำกล่าวว่าคนกวางตุ้งสนใจการเมืองน้อยที่สุด สนใจเรื่องทำมาหากินมากที่สุด คนฮ่องกงก็จัดเป็นชาวกวางตุ้ง และดูเหมือนจะสนใจกับเรื่องทำมาหากินมากกว่า

แต่คำกล่าวนี้ไม่ถูกต้อง เพราะในประวัติศาสตร์มีหลักฐานชัดเจนว่าคนกวางตุ้งและฮ่องกงหมกมุ่นกับการเมืองพอๆ กับเศรษฐกิจ หลายคนคือวีรบุรุษของการปฏิวัติ เป็นผู้นำกบฎ และผู้สนับสนุนการต่อต้านรัฐบาล เช่น ซุนยัตเซน ผู้นำการปฏิบวัติซินไฮ่ และหงซิ่วเฉวียน ผู้นำกบฎไท่ผิง ล้วนแต่เป็นคนกวางตุ้งที่ขัดขืนและโค่นล้มราชวงศ์ชิง ทำให้จีนก้าวสู่ยุคสมัยใหม่

ดังนั้นสูตรเรื่องอิ่มท้องแล้วไม่สนการเมืองจึงใช้การไม่ได้ ไม่ว่าจะในฮ่องกงหรือที่ซินเจียง

เมื่อการทำให้ท้องอิ่มมีกินมีใช้ไม่ช่วยให้คนในประเทศคิดตั้งตัวเป็นอิสระได้ สีจิ้นผิงจึงมองไปที่รากเหง้าของปัญหา นั่นคือความคิดของคนที่คิดแยกตัว จึงเป็นที่มาของการตั้ง "ค่ายศึกษาใหม่" เรียกอีกอย่างว่าค่ายฝึกอาชีพ หรือที่โลกตะวันตกเรียกว่าค่ายกักกัน

นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะประเทศคอมมิวนิสต์จะมีสิ่งที่เรียกว่า "ค่ายศึกษาใหม่" (Re-education camp) บางประเทศเรียกว่าค่ายสัมมนา ซึ่งจะเกณฑ์กลุ่มคนที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐไปอบรมล้างความคิดเดิม ส่งเสริมความคิดของสังคมใหม่ ส่วนมากจะเน้นสอนความอุดมการณ์มาร์กซิสต์กับระบอบการปกครองสังคมนิยม

ปัจจุบันประเทศคอมมิวนิสต์ที่เหลือแค่ 5 แห่งบางประเทศก็ยังมีค่ายสัมมนาอยู่ แต่ไม่มีประเทศไหนที่จะมีสเกลใหญ่เท่าจีน ถึงขนาดกวาดคนซินเจียงนับล้านคนมาเข้าค่ายอบรม (จากตัวเลขของสื่อตะวันตก ซึ่งตัวเลขนี้ยังเป็นที่น่าสงสัยอยู่)

ค่ายอบรมของจีนจะขัดเกลาผู้ต้องขังใหม่ผ่านการใช้แรงงาน (อันเป็นค่านิยมของประเทศคอมมิวนิสต์ที่ยึดหลักแรงงานเป็นใหญ่) ดังนั้นค่ายเหล่านี้จึงเรียกว่า "เล่าเจี้ยว" หรือการสอนผ่านแรงงาน คนที่ "มีโอกาส" เข้าไปอยู่มักเป็นพวกโทษเบา หรือมีทัศนะเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนได้ยกเลิกระบบเล่าเจี้ยวไปแล้วในปี 2013 เพราะเผชิญกับเสียงวิจารณ์ทั้งในและนอกประเทศเรื่องมนุษยธรรม

จนกระทั่งในปี 2014 รัฐบาลเสนอให้ตั้งค่ายแบบนี้อีกครั้งที่ซินเจียง หลังจากเกิดเหตุผู้ก่อการร้ายซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยชาวอุยกูร์ลงมือสังหารประชาชน 31 คนกลางสถานีรถไฟเมืองคุนหมิง ในมณฑลยูนนาน และเริ่มดำเนินการจริงในปี 2016

แต่การสังหารหมู่ที่คุนหมิงน่าจะเป็นปลายเหตุมากกว่า (ซึ่งนำไปสู่การประกาศสงครามประชาชนต่อต้านการก่อการร้ายในปีนั้น) สาเหตุจริงๆ มาจากจลาจลที่เมืองอูหลู่มู่ฉี เมืองเอกของซินเจียง ในปี 2009 ซึ่งคนจีนฮั่นกับคนอุยกูร์ปะทกัน ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 197 คน

ที่บังเอิญจนน่าประหลาดใจคือ จลาจลที่อูหลู่มู่ฉีมีสาเหตุมาจากการการเผชิญหน้าของคนฮั่นและคนอุยกูร์ที่โรงงานแห่งหนึ่งในเมืองเสากวน มณฑลกวางตุ้ง ทำให้คนอุยกูร์ตายไป 2 คน และทำให้คนอุยกูร์ที่บ้านเกิดไม่พอใจจนออกมาประท้วงและทำร้ายชาวฮั่นที่ซินเจียงคืนบ้าง

หากเรื่องที่กวางตุ้งเป็นเหตุที่ทำให้เกิดค่ายควบคุมชาวซินเจียงจริง ปัญหาจึงไม่ใช่การแบ่งแยกดินแดนเท่านั้น แต่เป็นความรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมของชนกลุ่มน้อยด้วย และความรู้สึกไม่เป็นธรรมนี้รุนแรงมาก ต่อให้คนกลุ่มน้อยมั่งมีศรีสุขในรัฐบาลนั้น ก็อาจยอมที่จะอดๆ อยากๆ เพื่อที่จะล้มล้างรัฐบาลหรือแยกประเทศได้เหมือนกัน