posttoday

ทรัมป์คิดจะใช้อาเซียนสู้จีน แต่ดูถูกอาเซียนเกินไป

05 พฤศจิกายน 2562

ทำไมทรัมป์ส่งเบอร์ 31 ในรัฐบาลมาคุยกับเบอร์ 1 ของอาเซียนบทวิเคราะห์โดยกรกิจ ดิษฐาน

ทำไมทรัมป์ส่งเบอร์ 31 ในรัฐบาลมาคุยกับเบอร์ 1 ของอาเซียนบทวิเคราะห์โดยกรกิจ ดิษฐาน

เอเชียตะวันออกเฉียงใต้หมดความสำคัญในสายตาสหรัฐไปพักใหญ่ในช่วงที่ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ต่อมารัฐบาลโอบามาเริ่มกลับมาให้ความสำคัญอีกครั้งแต่ไม่มากเท่าที่ควร จนกระทั่งถึงสมัยของโดนัลด์ ทรัมป์ ในช่วงแรกมีความคาดหวังกันว่าทรัมป์จะกลับมาสนใจอาเซียนอีก เพราะปล่อยให้จีนเข้ามาสนิทสนมกับภูมิภาคนี้นานเกินไปแล้ว

แต่ทรัมป์ไม่ใช่พวกที่นิยมโลกาภิวัฒน์แถมยังสนใจแต่ผลประโยชน์ของชาติตัวเอง ทำให้ทรัมป์ไม่รู้จักวิธีถนอมน้ำใจประเทศอื่นๆ โดยเบี้ยวการประชุมอาเซียนซัมมิตถึง 2 ครั้ง ครั้งก่อนยังพอให้อภัยได้ด้วยการส่งไมค์ เพนซ์มาเป็นตัวแทน ซึ่งยังถือเป็นระดับผู้นำของรัฐบาล แต่ในการประชุมที่เมืองไทยคราวนี้ทรัมป์ส่งที่ปรึกษาด้านความมั่นคงมาเป็นตัวแทน เป็นการลดระดับความสำคัญของอาเซียนกันเห็นๆ

ผลก็คือในการประชุมนอกรอบระหว่างสหรัฐ-อาเซียน ในบรรดาสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ มีเพียง 7 ประเทศเท่านั้นที่ส่งระดับรัฐมนตรีเข้าประชุม ส่วนที่เหลือคือไทย ลาว และเวียดนามมีระดับนายกรัฐมนตรีเข้าประชุมด้วยตัวเอง

เห็นได้ชัดว่าอาเซียนตอบโต้การเสียมารยาททางการทูตของทรัมป์ด้วยการส่งรัฐมนตรีเข้าประชุม ส่วนผู้นำไม่ยอมเข้ามาร่วมด้วยเพราะถือเป็นการ "ลดตัว" ไปคุยกับระดับที่ต่ำกว่า เรื่องนี้ไม่ใช่การถือตัวแต่เป็นวิธีปฏิบัติทางการทูต ดังเช่นที่คาร์ลอส โดมิงเกซ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของฟิลิปปินส์กล่าวว่า "ผมเดาว่าบรรดาผู้นำจะเข้าร่วมการประชุมก็ต่อเมื่อมีผู้อยู่ในฐานะเดียวกันมาอยู่ที่นี่"

คำว่าผู้อยู่ในฐานะเดียวกัน คือ counterparts หมายความว่า ผู้นำคุยกับผู้นำ รัฐมนตรีคุยกับรัฐมตนตรี ปลัดคุยกับปลัด ที่ปรึกษาก็ต้องคุยกับระดับที่ปรึกษา หากพลาดไปจากนี้ถือว่าผิดกติกามารยาททางการทูต

เมื่อเราดูที่ลำดับขั้นของผู้บริหารประเทศสหรัฐ (United States order of precedence) ซึ่งเป็นลำดับพิธีการทางการทูต เราจะพบว่าอันดับที่ 1 คือประธานาธิบดี อันดับที่ 2 รองประธานาธิบดี อันดับที่ 3 ผู้ว่าการรัฐต่างๆ อันดับ 4 ประธานสภาผู้แทนราษฎร อันดับ 5 ประธานศาลสูงสุด อันดับ 6 - 7 อดีตประธานาธิบดีและรอง อันดับ 8 - 9 เอกอัครราชทูตประจำประเทศต่างๆ และประจำสหประชาชาติ อันดับ 10 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แล้วข้ามไปยังรัฐมนตรีกระทรวงอื่นๆ ที่อันดับ 15 จากนั้นขอข้ามไปที่ตำแหน่งที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ ปรากฎว่าอยู่ในอันดับที่ 31

ยิ่งมาดูกันที่ลำดับการสืบทอดตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ในกรณีที่ประธานาธิบดีเสียชีวิตหรือลาออกกะทันหัน จะมีการเลื่อนตำแหน่งบุคคลในรัฐบาลขึ้นมาแทน โดยจะให้ความสำคัญกับรัฐมนตรีก่อน ส่วนที่ปรึกษานั้นไม่ได้อยู่ในข่าย

ว่าด้วยศักดิ์และศรีแล้วตำแหน่งนี้ด้อยว่าเอกอัครราชทูตสหรัฐเสียอีก แถมยังด้อยกว่ารัฐมนตรีพาณิชย์วิลเบอร์ รอส ที่เดินทางมาด้วยกัน แต่แถลงการณ์ของทำเนียบขาวจัดให้ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาตินำหน้ารัฐมนตรี แล้วแบบนี้จะไม่ให้ที่ประชุมอาเซียนเกิดความอิหลักอิเหลื่อได้อย่างไร?

เราไม่รู้ว่าทรัมป์คิดอะไรถึงคาดหวังจะให้ผู้นำอาเซียนไปคุยระดับที่ปรึกษาของเขา แต่ในทางการทูตแล้วถือเป็นเรื่องที่หมิ่นศักดิ์ศรีกัน แม้โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของไทยจะแถลงว่าเป็นการประชุมตามปกติของอาเซียนที่จะมีระดับนายกรัฐมนตรี 3 ประเทศเป็นตัวแทน เรียกว่าอาเซียนทรอยก้า แต่เมื่อพิจารณาจากท่าทีของสื่อทั่วโลกแล้วจะเห็นว่ามองไปทางเดียวกันหมดคือ นี่คือการตอบโต้ของอาเซียน ไม่ใช่วิธีปฏิบัติปกติแน่ๆ

สำนักข่าว AP ใช้คำว่า Trump's proxy ซึ่งเป็นคำในด้านลบ แทนที่จะใช้คำว่า Envoy หรือ Representative ซึ่งมีความหมายอันทรงเกียรติ

ซ้ำร้ายที่ฝ่ายสหรัฐเองเสียอีกที่แสดงอาการไม่พอใจ โดยนักการทูตสหรัฐรายหนึ่งกล่าวกับสำนักข่าว Kyodo ว่า "เรากังวลเป็นอย่างมากกับการตัดสินใจดังกล่าว" แปลเป็นภาษาคนทั่วไปก็คือ "เราไม่พอใจที่ผู้นำอาเซียนเมินเรา"

ความจริงก็คือสหรัฐเมินผู้นำอาเซียนก่อน ไม่เฉพาะอาเซียนเท่านั้นแต่ยังมีผู้นำอินเดีย จีน ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และนิวซีแลนด์ที่ถูกทรัมป์เบี้ยว สื่อต่างประเทศถึงขนาดใช้คำว่า snub ซึ่งแปลว่าไม่แยแสเพราะไม่ควรค่าแก่การใส่ใจ (spurn disdainfully)

ทรัมป์อาจจะคิดว่าส่งระดับตัวแทนไปคุยกับ "ประเทศเล็กๆ" ในอาเซียนก็เพียงพอแล้ว หารู้ไม่ว่านี่คือเวทีการเจรจาระดับโลกที่มีตัวบิ๊กๆ มาประชุมกันโดยพร้อมเพรียง ทรัมป์ทำแบบนี้เท่ากับบอกกับอาเซียนว่าอาเซียนเป็นกลุ่มต๊อกต๋อย แค่ส่งเจ้าหน้าที่ระดับท้ายๆ มาก็เพียงพอแล้ว

ที่ยอกย้อนก็คือ รอเบิร์ท โอไบรอัน ผู้แทนของทรัมป์โจมตีจีนว่าทำตัวเป็นจักรวรรดินิยมหมายจะให้อาเซียนยอมสยบ แต่การสหรัฐกลับแต่ทำตัวเป็นเจ้าใหญ่นายโตเสียเองโดยคิดว่า "อันดับที่ 31" ในรัฐบาลของเขาสมควรแก่ฐานะของ "ลำดับที่ 1" หรือ 2 ของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ไม่น่าแปลกใจที่อาเซียนจะไม่อยากคบหา ทำให้ทรัมป์สิ้นพันธมิตรสู้จีนไปอีกหนึ่งแถมยังเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญอีกด้วย

และผู้ที่ยิ้มหน้าบานที่สุดคือจีนที่ไม่ต้องออกแรงทำอะไร สหรัฐก็สะดุดขาตัวเองล้มเองเอาดื้อๆ