หัวเว่ยจ่อไล่บี้ค่าลิขสิทธิ์จากบริษัทสหรัฐฯ
หัวเว่ยอาจใช้กลยุทธ์เก็บค่าทรัพย์สินทางปัญญาจากบริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐ ที่ใช้ลิขสิทธิ์เทคโนโลยีของหัวเว่ยผ่านบริษัทแห่งอื่น
หัวเว่ยอาจใช้กลยุทธ์เก็บค่าทรัพย์สินทางปัญญาจากบริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐ ที่ใช้ลิขสิทธิ์เทคโนโลยีของหัวเว่ยผ่านบริษัทแห่งอื่น
ซีเอ็นบีซีของสหรัฐรายงานว่า "หัวเว่ย" ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของจีนอาจเริ่มหันมาใช้กลยุทธ์ในการต่อสู้กับมาตรการอันไม่ชอบธรรมของรัฐบาลสหรัฐด้วยการเริ่มฟ้องร้องบรรดาบริษัทด้านเทคโนโลยีซึ่งหัวเว่ยได้จดสิทธิบัตรทรัยพ์สินทางปัญญาไว้
ปัจจุบันหัวเว่ยมีสิทธิบัตรทรัพย์สินทางปัญญาอยู่ทั่วโลกมากกว่า 69,000 ใบ และกำลังยื่นเพื่อพิจาณาอีกเกือบ 50,000 ใบ รวมถึงยังถือครองสิทธิบัตรที่จำเป็นมาตรฐาน (standard essential patent) หรือ SEP ที่เกี่ยวข้องกับระบบ 5G อีกราว 1,500 ใบ
สอดคล้องกับก่อนหน้านี้เมื่อช่วงสัปดาห์ที่แล้ว เหริน เจิ้่งเฟ่ย ประธานใหญ่ของหัวเว่ยได้กล่าวว่า "ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเราไม่เคยสนใจในประเด็นเรื่องค่าลิขสิทธิ์กับบริษัทอื่นที่ใช้เทคโนโลยีของเราเลย - นั้นเพราะเราไม่ว่างที่จะสนใจประเด็นนี้ เราสนใจการเติบโตของบริษัทมากกว่า .. แต่ตอนนี้เมื่อเราถูกกีดกันจนมีเวลามากขึ้น เราอาจพยายามเรียกร้องเงินจากบริษัทอื่นๆที่ใช้สิทธิบัตรของเราบ้าง"
แต่ทั้งนี้ เหรินกล่าวว่า "หัวเว่ยจะไม่ใช้ประเด็นเรื่องลิขสิทธิ์เป็นอาวุธในการขัดขวางการพัฒนาของสังคมมนุษย์เด็ดขาด"
เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่าหัวเว่ยได้เรียกร้องค่าลิขสิทธิ์จากบริษัท Verizon จ่ายค่าลิขสิทธิ์เป็นมูลค่าถึง 1 พันล้านดอลลาร์จากการใช้สิทธิบัตรทรัพย์สินทางปัญญาของหัวเว่ยมากกว่า 230 รายการ
ความคืบหน้าของหัวเว่ยครั้งนี้นับเป็นการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ครั้งใหญ่ของหัวเว่ยที่ปกติแล้วที่ผ่านมาหัวเว่ยไม่ค่อยสนใจในประเด็นสิทธิบัตรลิขสิทธิ์สักเท่าไร แม้ว่าหัวเว่ยจะถือสิทธิบัตรที่สำคัญบางอย่างซึ่งเป็นรากฐานของโลกโทรคมนาคมในยุคถัดไปซึ่งก็คือ 5G
ทั้งนี้ หัวเว่ยถูกรัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์แบนการทำธุรกรรมร่วมกับบริษัทของสหรัฐ แต่ทว่าบริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของสหรัฐก็ยังคงใช้เทคโนโยลีที่หัวเว่ยจดลิขสิทธิ์ในทางอ้อม ผ่านบริษัทอื่นภายนอก (third parties)
หัวเว่ยถือสิทธิบัตรด้านด้านลิขสิทธิ์ทั่วโลกราว 69,000 ใบ ในจำนวนนี้มากกว่า 57% เป็นสิทธิบัตรที่อยู่ในตลาดจีน ขณะที่อีกเกือบ 18 %อยู่ในสหรัฐ ซึ่งเป็นตลาดสิทธิบัตรที่ใหญ่เป็นอันดับสองของหัวเว่ย