posttoday

ซัมซุง ผู้ชนะที่แทบไม่ได้อะไรกลับมา

21 พฤษภาคม 2562

บทวิเคราะห์ตาอยู่แห่งสงครามการค้าที่กำลังจะโดนหางเลขไปด้วย โดย กรกิจ ดิษฐาน

วันนี้ราคาหุ้นของซัมซุงพุ่งพรวด 2.7% จนทำให้ตลาดหุ้นเกาหลีใต้พลอยได้อานิสงส์จนปิดบวกไปด้วย แน่นอนว่าสาเหตุมาจากความคาดหวังของชาวโลกที่เทไปที่ซัมซุง หลังจากที่หัวเว่ยถูกสหรัฐขึ้นบัญชีดำ

ตอนนี้เจ้าแห่งสมาร์ทโฟนคือซัมซุงในอันดับที่ 1 อันดับที่ 2 คือหัวเว่ย และอันดับที่ 3 คือแอปเปิล เมื่อสหรัฐแบนหัวเว่ยแล้วยอดขายอาจจะตก เพราะความมั่นใจของผู้บริโภคสั่นคลอน (พูดง่ายๆ ก็คือไม่กล้าซื้อหัวเว่ยมาใช้) ทำให้แอปเปิลมีโอกาสไต่กลับขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 2

ในทางทฤษฎีควรเป็นเช่นนั้น แต่ในทางปฏิบัติ แอปเปิลอาจจะโดนหางเลขไปด้วย เพราะตอนนี้กระแสแอนตี้สินค้าอเมริกันกำลังคุกรุ่นอยู่ในจีน

ดังนั้นความคาดหวังจึงมาตกอยู่ที่ซัมซุง แต่คนเขาหวังอะไรจากซัมซุง?

ความคาดหวังนี้ไม่มีอะไรซับซ้อน ก็แค่เครื่องสมาร์ทโฟนของหัวเว่ยใช้ระบบของกูเกิลไม่ได้ แต่เครื่องของซัมซุงยังใช้ได้ แนวโน้มก็ต้องเทไปที่ซัมซุงอยู่แล้ว (ซัมซุงมีส่วนแบ่งยอดขายสมาร์ทโฟนอยู่ที่ 23.1% ส่วนหัวเว่ยอยู่ที่ 19% ช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ จากข้อมูลของ International Data Corporation)

แต่ไม่ใช่แค่นั้นหรอก เพราะไม่ได้มีแค่ผู้บริโภคเท่านั้นที่จะเทมาที่ซัมซุง แม้แตัวหัวเว่ยเองก็คาดหวังว่าจะพึ่งพายักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีแห่งเกาหลีใต้เช่นกัน เพราะซัมซุงคือผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่ที่สุดในโลก

เมื่อสหรัฐสั่งให้บริษัทผู้ผลิตชิปเลิกยุ่งเกี่ยวกับหัวเว่ย หัวเว่ยก็ต้องพึ่งพาเกาหลีใต้มากขึ้น แม้จะมีคำสั่งยืดระยะเวลาออกไปอีก 90 วัน แต่อย่างไรเสียหัวเว่ยจะไม่รอให้ถึง 90 วันแล้วพาแหล่งผลิตชิปใหม่อย่างแน่นอน

ที่จริงหัวเว่ยเตรียมการไว้นานแล้ว หากเราจะเชื่อคำยืนยันจากเหรินเจิ้งเฟย ซีอีโอของบริษัท แต่ไม่ว่าคำยืนยันนี้จะจริงหรือไม่ก็ต้อง มีข้อมูลหนึ่งที่คนภายนอกไม่ค่อยจะทราบกัน นั่นคือ จีนเป็นลูกค้าชั้นดีของเกาหลีใต้มานานแล้ว จากข้อมูลของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก พบว่าในปี 2017 จีนซื้อชิปจากเกาหลีใต้ถึง 51% และถ้ารวมเอาดีมานด์จากฮ่องกงเข้าไปด้วย เกาหลีใต้เป็นผู้จัดจำหน่ายชิปให้จีนถึง 69% เลยทีเดียว

ในทางทฤษฎีเหมือนซัมซุงจะได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง คือยอดขายสมาร์ทโฟนเทมาที่ตัวเอง แถมยังขายชิปให้กับคู่แข่งได้อีก ประเด็นก็คือเรายังไม่รู้ว่าหัวเว่ยจะแก้เกมด้วยการสั่งซื้อชิปจากซัมซุงเพิ่มหรือไม่ หรือชะลอการผลิตไปก่อน

โอกาสที่ซัมซุงจะโดนหางเลขแทนที่จะได้รับอานิสงส์จากสงครามการค้ามีสูงมาก เพราะเดือนที่ผ่านๆ มายอดขายชิปของเกาหลีใต้ตกกราวรูด

เมื่อเดือนกุมภาพันธ์นี้ยอดส่งออกชิปของเกาหลีใต้ตกวูบถึง 11.1 % เพราะความต้องการจากตลาดจีนลดลง ถือเป็นอัตราที่ต่ำที่สุดในรอบ 3 ปี พอถึงมีนาคมยังตกลงอีก 11.4% ด้วยสาเหตุเดิม เมื่อเทียบปีต่อปีแล้วดิ่งถึง 25% หรือมากที่สุดในรอบ 10 ปี และซัมซุงเองก็ยังบอกด้วยว่า ตัวเลขที่เห็นจะแย่ลงไปอีกในอนาคต

หมายความข้อมูลข้างต้นจากปี 2017 ที่ว่าจีนพึ่งพาชิปจากเกาหลีใต้จำนวนมหาศาล กำลังจะกลายเป็นข้อมูลในอดีต

ตอนนี้เรามีความเป็นได้อยู่ 2 ทางคือ หนึ่ง หัวเว่ยซื้อชิปเพิ่มเพราะซื้อจากสหรัฐไม่ได้ ช่วยทำให้ยอดส่งออกของซัมซุงดีขึ้น หรือสอง หัวเว่ยชะลอการผลิตลงไปอีก คราวนี้แหละซัมซุงจะพลอยแย่ไปด้วย

ในความเป็นไปได้ข้อหนึ่ง ยังมีความเป็นไปได้อีกเรื่องซ่อนไว้ คือ โอกาสที่หัวเว่ยจะพัฒนาชิปของตัวเองให้มันดีขึ้นไปอีก เพื่อลดการพึ่งพาจากภายนอก

มีอีกข้อมูลหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ เมื่อเดือนที่แล้ว Qualcomm ผู้ผลิตชิปชั้นนำของสหรัฐ ขึ้นศาลให้การในกรณีที่ถูกฟ้องร้องคดีผูกขาดตลาดชิปโดยรวมหัวกับแอปเปิล แต่ Qualcomm เปิดเผยข้อมูลว่า พวกเขาจะผูกขาดตลาดชิปได้อย่างไร ในเมื่อคู่แข่งของแอปเปิล คือหัวเว่ยกับซัมซุงใช้ชิปของตัวเองเป็นส่วนใหญ่ โดยหัวเว่ยซื้อชิปของ Qualcomm แค่ 22% อีก 54% ใช้ของตัวเอง ขณะที่ซัมซุงซื้อมาแค่ 38% อีก 52% ใช้ของตัวเอง

ตัวเลขนี้อาจช่วยให้ Qualcomm รอดจากการถูกดำเนินคดีข้อหาผูกขาดตลาด แต่ทำให้ซัมซุงคิดหนักเพราะเห็นแล้วว่า หัวเว่ยพึ่งพาตัวเองได้มากขนาดไหน

ดังนั้น เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซัมซุงจึงประกาศแผนระยะยาว 10 ปี ทุ่มเงินถึง 116,000 ล้านเหรียญสหรัฐมุ่งมั่นเป็นเจ้าแห่งชิป โดยประกาศเจตนารมณ์ชัดเจนว่าเพื่อไม่ให้จีนแซงหน้า แสดงให้เห็นว่าเกาหลีใต้รู้แล้วว่าในระยะยาวจีนจะไม่พึงเกาหลีใต้แน่ๆ แถมยังจะเป็นคู่แข่งอีกต่างหาก

จึงไม่น่าแปลกใจที่คนในรัฐบาลเกาหลีใต้จะกังวลเรื่องผลกระทบจากสงครามการค้า แทนที่ดีใจเหมือนที่บางคนเชื่อว่าเกาหลีใต้จะเป็น "ตาอยู่" ในวิกฤตนี้