posttoday

ความรวยต้องสร้างเอง เปิดใจลูกชายเจ้าสัวหมื่นล้านในวันที่พ่อไม่ยกมรดกให้สักบาท

08 พฤษภาคม 2562

“บ้านหลังแรกอาจจะไม่ใช่บ้านที่เราอยากได้มากที่สุด แต่อย่างน้อยเราก็ได้ไต่ขั้นบันไดขั้นแรกแล้ว จากนั้นก็แค่ค่อยๆ ไต่ขึ้นไปทีละขั้น”

โดย จารุณี นาคสกุล

ซีหวิ่งชิงสร้างอาณาจักรอสังหามูลค่า 400 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 12,000 ล้านบาท) แต่หากเขาเสียชีวิต ทายาททั้งสามจะไม่ได้มรดกแม้แต่บาทเดียว

ถ้าพ่อแม่มีทรัพย์สินเป็นพันเป็นหมื่นล้าน การที่ลูกจะได้รับมรดกก้อนโตก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่สำหรับทายาททั้งสามคนของ ซีหวิ่งชิง ไทคูนอสังหาริมทรัพย์อันดับต้นๆ ของฮ่องกง พวกเขาจะไม่ได้เงินจากพ่อแม่แม้แต่บาทเดียว เพราะผู้เป็นพ่อได้บริจาคเงินทั้งหมดให้กับองค์กรการกุศลไปแล้ว

ซีหวิ่งชิง วัย 70 ปีเกิดที่เมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน แต่เมื่ออายุได้ 3 ขวบก็ย้ายมาอยู่ที่ฮ่องกง เนื่องจากฐานะครอบครัวไม่ได้ร่ำรวย ซีหวิ่งชิงจึงต้องทำงานหาเงินมาช่วยจุนเจือครอบครัวตั้งแต่วัย 8 ขวบ เริ่มด้วยการทำงานในโรงอาหารของโรงงานแห่งหนึ่ง และด้วยความที่หัวไม่ค่อยดีนักจึงลาออกจากโรงเรียนตั้งแต่ชั้นประถม

ความรวยต้องสร้างเอง เปิดใจลูกชายเจ้าสัวหมื่นล้านในวันที่พ่อไม่ยกมรดกให้สักบาท ซีหวิ่งชิง

จนวันหนึ่งซีหวิ่งชิงก็สู้ชีวิตจนกระทั่งได้ก่อตั้งบริษัท Centaline Property Agency ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์เจ้าใหญ่ของฮ่องกงเมื่อปี 1978

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ไทคูนชาวฮ่องกงบริจาคหุ้นทั้งหมดในบริษัทมูลค่า 400 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 12,712 ล้านล้านบาทให้กับมูลนิธิซีหวิ่งชิง ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อปี 2008 เพื่อช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิต การศึกษา และสุขภาพของชาวจีนในแถบชนบท ไปเมื่อ 10 ปีที่แล้วในวันคล้ายวันเกิดอายุครบ 60 ปีของตัวเอง

และเมื่อเร็วๆ นี้หนึ่งในทายาทของไทคูนอสังหาริมทรัพย์รายนี้ได้เปิดใจกับสำนักข่าวบลูมเบิร์กว่ามีความคิดเห็นกับการตัดสินใจของพ่ออย่างไร

ความรวยต้องสร้างเอง เปิดใจลูกชายเจ้าสัวหมื่นล้านในวันที่พ่อไม่ยกมรดกให้สักบาท อเล็กซ์ ซี ภาพ : เฟซบุ๊ค Alex Shih

แม้จะไม่ได้รับมรดกจากพ่อ แต่ อเล็กซ์ ซี ลูกชายวัย 30 ปี กลับไม่กังวลใจใดๆ เขาให้สัมภาษณ์ว่า “ส่วนตัวผมยอมรับการตัดสินใจของพ่อ พ่อบอกเรื่องนี้ตั้งแต่พวกเรายังเด็กๆ แล้ว และพวกเราไม่มีทางเลือก พ่อมักจะสอนเสมอว่าอย่าใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเกินไปแบบม้วนเดียวจบ เราจะได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์มากกว่าถ้าเราเริ่มก้าวทีละขั้นๆ”

เมื่อต้นปีที่ผ่านมาอเล็กซ์เพิ่งจะก้าวเข้ามารับตำแหน่งรองประธานบริษัท Centaline Property Agency และถูกวางตัวให้สืบต่อตำแหน่งประธานหลังจากผู้เป็นพ่อเกษียณซึ่งคาดว่ากำลังจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้  ช่วงที่เขาเข้ามารับตำแหน่งนั้นบริษัทเพิ่งจะผ่านพ้นมรสุมผลประกอบการหดหาย ส่งผลให้รายได้สุทธิของบริษัทหายไปถึง 52% เหลือเพียง 63.83 ล้านเหรียญสหรัฐ จากภาวะขาลงของตลาดอสังหาริมทรัพย์ของฮ่องกง และถูกบริษัทจากจีนแผ่นดินใหญ่เข้ามาแย่งตลาด

แต่หลังจากตลาดฟื้นตัว อเล็กซ์ก็เข้ามาปรับลุคองค์กรให้ดูทันสมัยขึ้นด้วยการนำเทคนิคความเป็นจริงเสมือน (Virtual Reality) เข้ามาใช้ในการดูแบบบ้านตัวอย่างตั้งแต่ปี 2017 และเร็วๆ นี้ก็เพิ่งนำแพลตฟอร์มบล็อกเชนเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพในการทำสัญญาซื้อขายหรือสัญญาเช่า โดยเจ้าตัวเผยว่า “บริษัทก็เหมือนกับเรือลำใหญ่ ผมกำลังพยายามนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาต่อเติมเพื่อให้เรือแล่นได้เร็วขึ้น”

แม้จะมีตำแหน่งที่สูงและเป็นถึงลูกชายท่านประธาน แต่อเล็กซ์เล่าว่าเขาได้รับเงินเดือนปกติเหมือนกับพนักงานคนอื่นๆ ซึ่งเพื่อนที่ทำงานด้านการเงินยังได้รับเงินเดือนมากกว่าเขาเสียอีก

อเล็กซ์มีชีวิตวัยเด็กที่เรียบง่าย ผู้เป็นพ่อเมินโรงเรียนนานาชาติที่บรรดามหาเศรษฐีฮ่องกงมักจะส่งลูกๆ ไปเรียน และส่งลูกๆ เข้าเรียนในโรงเรียนรัฐบาลแทน และปลูกฝังลูกๆ ตั้งแต่เด็กๆ ว่าคนรวยควรจะนำเงินไปช่วยเหลือคนที่ด้อยโอกาสกว่า ซึ่งปรัชญาความเรียบง่ายนี้ถูกถ่ายทอดไปสู่ลูกชายคนเล็กของตระกูลซีแบบเต็มๆ

อเล็กซ์จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์ลอนดอน แต่เขากลับมองว่าตัวเองเป็นคนธรรมดาๆ คนหนึ่งเหมือนกับคนฮ่องกงทั่วไป เขาเริ่มชีวิตการทำงานจากตำแหน่งตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์ในบริษัทของพ่อ โดยที่ไม่ได้รับสิทธิพิเศษเหนือพนักงานคนอื่น เขาต้องเดินสายอยู่นอกออฟฟิศเพื่อแข่งขันช่วงชิงลูกค้าจากคู่แข่งไม่ว่าจะฝนตกหรือแดดออก และมีออฟฟิศเล็กๆ ที่แทบจะไม่มีการตกแต่งใดๆ เลย

อีกเรื่องหนึ่งที่ยืนยันได้ว่าอเล็กซ์เหมือนกับชาวฮ่องกงทั่วไป โดยเฉพาะคนในวัยมิลเลนเนียล ที่อาศัยอยู่ในเมืองที่ราคาอสังหาริมทรัพย์แพงที่สุดในโลกติดต่อกัน 9 ปีซ้อนก็คือ เขายังต้องเก็บเงินด้วยตัวเองเพื่อซื้อบ้านหลังแรก ทั้งที่พ่อเป็นเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ชื่อดังของเกาะฮ่องกง จะชี้นิ้วเลือกอพาร์ทเม้นท์หรูขนาดไหนก็ได้

แถมบ้านในฝันของเขาก็แสนจะเรียบง่าย อเล็กซ์ตั้งเป้าว่าจะซื้ออพาร์ทเม้นท์ขนาด 2 ห้องนอนในย่านเกาลูนตะวันตกซึ่งส่วนใหญ่เป็นย่านชนชั้นกลาง ช่างแตกต่างจากอพาร์ทเม้นท์หรูมูลค่านับล้านล้านเหรียญที่บริษัทของเขาขายลิบลับ

“บ้านหลังแรกอาจจะไม่ใช่บ้านที่เราอยากได้มากที่สุด แต่อย่างน้อยเราก็ได้ไต่ขั้นบันไดขั้นแรกแล้ว จากนั้นก็แค่ค่อยๆ ไต่ขึ้นไปทีละขั้น” เจ้าตัวเผยอย่างมั่นใจว่าในอนาคตเขาจะได้บ้านที่เขาอยากได้ที่สุดมาครอบครอง

นอกจากลูกชายคนเล็กแล้ว เจเน็ต ลูกสาวคนโตวัย 32 ปี วิกเตอร์ ลูกชายวัย 30 ปี ก็ได้นิสัยความมัธยัสถ์จากผู้เป็นพ่อเช่นกัน ทั้งคู่ต้องนั่งรถไฟใต้ดินไปทำงานทุกวัน เพราะที่บ้านไม่มีรถหรูให้ ลูกสาวคนโตเริ่มงานด้วยเงินเดือน 10,000 เหรียญฮ่องกง หรือราว 40,465 บาท เธอเคยอยากได้แชมพูที่เพิ่งเปิดตัวใหม่แต่เงินเดือนไม่พอ เจ้าตัวต้องรอจนกว่าจะผ่านการทดลองงานและได้เงินเดือนเพิ่มจึงจะซื้อแชมพูขวดนั้นได้ หรือหากเผลอใช้เงินเยอะช่วงต้นเดือน วันที่เหลือเธอก็ต้องประหยัดและบริหารเงินที่เหลือให้พอใช้ทั้งเดือน โดยไม่มีการขอเงินจากทางบ้านเพิ่ม

คุณพ่อวัย 70 ยังสอนลูกๆ เพิ่มเติมอีกว่าคนเราควรพึ่งตัวเองให้ได้มากที่สุด เพราะ “ความภาคภูมิใจเกิดขึ้นจากการประสบความสำเร็จด้วยตัวเอง การพึ่งพาครอบครัวทำให้ขาดโอกาสในการทำงานหนักและค้นพบตัวเอง ซึ่งนำมาสู่ชีวิตที่ไม่สมบูรณ์แบบ” โดยหลักการเลี้ยงลูกและการบริหารองค์กรขนาดใหญ่ทั้งหมดนี้ ซีหวิ่งชิงนำมาจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิงของเล่าจื๊อ

และตัวเขาก็เชื่อว่าการบริจาคเงินให้กับองค์กรการกุศลจะเป็นผลดีกับลูกๆ มากกว่า เนื่องจาก “มันมีข้อจำกัดอยู่ว่าคนเราจะกินได้เท่าไร จะใช้เงินได้เท่าไร การมีเงินมากเกินไปจะทำให้เราขาดแรงจูงใจในการทำงาน เมื่อเรามีเงินถึงระดับหนึ่งแล้ว เราต้องแสดงความมีคุณค่าของตัวเองด้วยการทำความดีที่เป็นประโยชน์กับคนอื่น เราควรใช้เงินไปกับสิ่งที่เป็นประโยชน์มากที่สุด”