เศรษฐีโลกสูญเงิน16ล้านล้าน หลังหุ้นร่วงหนักฉุดสินทรัพย์ลดฮวบ
ความมั่งคั่งเศรษฐีโลกลดฮวบ 16 ล้านล้าน หลังตลาดหุ้นโลกดิ่งหนัก หุ้นสหรัฐร่วงหนักรอบสัปดาห์เลวร้ายสุด 10 ปี
ความมั่งคั่งเศรษฐีโลกลดฮวบ 16 ล้านล้าน หลังตลาดหุ้นโลกดิ่งหนัก หุ้นสหรัฐร่วงหนักรอบสัปดาห์เลวร้ายสุด 10 ปี
บลูมเบิร์กรายงานว่า สินทรัพย์ของมหาเศรษฐีทั่วโลกลดลงถึง 5.11 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 16 ล้านล้านบาท) ในปี 2018 เป็นผลมาจากตลาดหุ้นทั่วโลกที่ร่วงลงอย่างหนัก โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งตลาดหุ้นหลายแห่งเผชิญแรงเทขายจนเข้าสู่ภาวะตลาดหมี
ดัชนี บลูมเบิร์ก บิลเลียนแนร์ อินเด็กซ์ ซึ่งจัดอันดับสินทรัพย์เศรษฐีโลก 500 ราย พบว่า มูลค่าสินทรัพย์ของเศรษฐีโลกทั้งหมดอยู่ที่ 4.7 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 153 ล้านล้านบาท) ในขณะนี้ ซึ่งลดลงเป็นครั้งที่ 2 นับตั้งแต่เริ่มทำดัชนีในปี 2012
สำหรับในสหรัฐนั้น บลูมเบิร์กระบุว่า สินทรัพย์ของมหาเศรษฐี 173 ราย ลดลง 5.9% มาอยู่ที่รวมกันทั้งหมด 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 61 ล้านล้านบาท) โดย เจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้งแอมะซอน ยักษ์อี-คอมเมิร์ซสหรัฐ ซึ่งร่ำรวยขึ้นมากที่สุดในโลกในปีนี้เมื่อเดือน ก.ย. มีสินทรัพย์ลดลง 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 5.21 แสนล้านบาท) ด้านสินทรัพย์ของ มาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊กลดลงมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ถึง 2.3 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 7.49 แสนล้านบาท) นับตั้งแต่เดือน ม.ค.
ขณะเดียวกัน บลูมเบิร์กเปิดเผยว่า ในปีนี้นับเป็นครั้งแรกที่ความมั่งคั่งของมหาเศรษฐีเอเชียลดลงในรอบ 6 ปี โดยเศรษฐีเอเชีย 128 คน มีสินทรัพย์ลดลง 1.44 แสนล้านดอลลาร์ (ราว 4.69 ล้านล้านบาท) โดยเศรษฐีจีนมีสินทรัพย์ลดลงมากที่สุดในเอเชีย ซึ่งสัดส่วน 2 ใน 3 รวยลดลง
“สภาพตลาดหุ้นที่ย่ำแย่ในปีนี้ และความไม่แน่นอนจากเรื่องความตึงเครียดทางการค้ามีแนวโน้มเพิ่มความท้าทายให้หลายภาคธุรกิจ” ฟิลิป ไวแอตต์ นักเศรษฐศาสตร์จากธนาคารยูบีเอสกล่าว
อย่างไรก็ดี ไวแอตต์มองว่าแนวโน้มดังกล่าวไม่น่าดำเนินไปต่อเนื่องในปีหน้า เนื่องจากเอเชียมีปัจจัยแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างมหาเศรษฐีหน้าใหม่ เช่น เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ดึงดูดการลงทุนจากเอกชนและนโยบายสนับสนุนของรัฐบาล
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นโลกเจอแรงเทขายอย่างหนักตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะในตลาดหุ้นสหรัฐ ซึ่งดัชนีอุตสาหกรรมดาโจนส์ปรับลงเกือบ 7% นับเป็นการลดลงรอบสัปดาห์ที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจ 2008 ขณะที่ดัชนีแนสแด็กเข้าสู่ภาวะตลาดหมีเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา ปรับลง 21.9% จากระดับสูงสุดเมื่อวันที่ 29 ส.ค. ด้านดัชนีเอส แอนด์ พี 500 ลดลงแล้ว 17.5% จากระดับสูงสุดวันที่ 20 ก.ย.
ก่อนหน้านี้ การขึ้นดอกเบี้ยและหั่นเป้าจีดีพีสหรัฐของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในการประชุมวันที่ 19 ธ.ค. เป็นปัจจัยหลักฉุดตลาดหุ้น รวมถึงความวิตกเรื่องเศรษฐกิจโลกโตชะลอ และความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐที่กลับมาทวีความรุนแรงขึ้นอีกครั้ง หลังสหรัฐกล่าวหาว่า จีนดำเนินปฏิบัติการจารกรรมไซเบอร์
ภาพ เอเอฟพี