posttoday

เศรษฐีโลกสูญเงิน16ล้านล้าน หลังหุ้นร่วงหนักฉุดสินทรัพย์ลดฮวบ

23 ธันวาคม 2561

ความมั่งคั่งเศรษฐีโลกลดฮวบ 16 ล้านล้าน หลังตลาดหุ้นโลกดิ่งหนัก หุ้นสหรัฐร่วงหนักรอบสัปดาห์เลวร้ายสุด 10 ปี

ความมั่งคั่งเศรษฐีโลกลดฮวบ 16 ล้านล้าน หลังตลาดหุ้นโลกดิ่งหนัก หุ้นสหรัฐร่วงหนักรอบสัปดาห์เลวร้ายสุด 10 ปี

บลูมเบิร์กรายงานว่า สินทรัพย์ของมหาเศรษฐีทั่วโลกลดลงถึง 5.11 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 16 ล้านล้านบาท) ในปี 2018 เป็นผลมาจากตลาดหุ้นทั่วโลกที่ร่วงลงอย่างหนัก โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งตลาดหุ้นหลายแห่งเผชิญแรงเทขายจนเข้าสู่ภาวะตลาดหมี

ดัชนี บลูมเบิร์ก บิลเลียนแนร์ อินเด็กซ์ ซึ่งจัดอันดับสินทรัพย์เศรษฐีโลก 500 ราย พบว่า มูลค่าสินทรัพย์ของเศรษฐีโลกทั้งหมดอยู่ที่ 4.7 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 153 ล้านล้านบาท) ในขณะนี้ ซึ่งลดลงเป็นครั้งที่ 2 นับตั้งแต่เริ่มทำดัชนีในปี 2012

สำหรับในสหรัฐนั้น บลูมเบิร์กระบุว่า สินทรัพย์ของมหาเศรษฐี 173 ราย ลดลง 5.9% มาอยู่ที่รวมกันทั้งหมด 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 61 ล้านล้านบาท) โดย เจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้งแอมะซอน ยักษ์อี-คอมเมิร์ซสหรัฐ ซึ่งร่ำรวยขึ้นมากที่สุดในโลกในปีนี้เมื่อเดือน ก.ย. มีสินทรัพย์ลดลง 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 5.21 แสนล้านบาท) ด้านสินทรัพย์ของ มาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊กลดลงมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ถึง 2.3 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 7.49 แสนล้านบาท) นับตั้งแต่เดือน ม.ค.

เศรษฐีโลกสูญเงิน16ล้านล้าน หลังหุ้นร่วงหนักฉุดสินทรัพย์ลดฮวบ

ขณะเดียวกัน บลูมเบิร์กเปิดเผยว่า ในปีนี้นับเป็นครั้งแรกที่ความมั่งคั่งของมหาเศรษฐีเอเชียลดลงในรอบ 6 ปี โดยเศรษฐีเอเชีย 128 คน มีสินทรัพย์ลดลง 1.44 แสนล้านดอลลาร์ (ราว 4.69 ล้านล้านบาท) โดยเศรษฐีจีนมีสินทรัพย์ลดลงมากที่สุดในเอเชีย ซึ่งสัดส่วน 2 ใน 3 รวยลดลง

“สภาพตลาดหุ้นที่ย่ำแย่ในปีนี้ และความไม่แน่นอนจากเรื่องความตึงเครียดทางการค้ามีแนวโน้มเพิ่มความท้าทายให้หลายภาคธุรกิจ” ฟิลิป ไวแอตต์ นักเศรษฐศาสตร์จากธนาคารยูบีเอสกล่าว

อย่างไรก็ดี ไวแอตต์มองว่าแนวโน้มดังกล่าวไม่น่าดำเนินไปต่อเนื่องในปีหน้า เนื่องจากเอเชียมีปัจจัยแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างมหาเศรษฐีหน้าใหม่ เช่น เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ดึงดูดการลงทุนจากเอกชนและนโยบายสนับสนุนของรัฐบาล

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นโลกเจอแรงเทขายอย่างหนักตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะในตลาดหุ้นสหรัฐ ซึ่งดัชนีอุตสาหกรรมดาโจนส์ปรับลงเกือบ 7% นับเป็นการลดลงรอบสัปดาห์ที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจ 2008 ขณะที่ดัชนีแนสแด็กเข้าสู่ภาวะตลาดหมีเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา ปรับลง 21.9% จากระดับสูงสุดเมื่อวันที่ 29 ส.ค. ด้านดัชนีเอส แอนด์ พี 500 ลดลงแล้ว 17.5% จากระดับสูงสุดวันที่ 20 ก.ย.

ก่อนหน้านี้ การขึ้นดอกเบี้ยและหั่นเป้าจีดีพีสหรัฐของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในการประชุมวันที่ 19 ธ.ค. เป็นปัจจัยหลักฉุดตลาดหุ้น รวมถึงความวิตกเรื่องเศรษฐกิจโลกโตชะลอ และความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐที่กลับมาทวีความรุนแรงขึ้นอีกครั้ง หลังสหรัฐกล่าวหาว่า จีนดำเนินปฏิบัติการจารกรรมไซเบอร์

ภาพ เอเอฟพี