"โขนไทย - โขลกัมพูชา" ความต่างในมรดกโลก
อะไรคือความต่างในการขึ้นทะเบียน 'โขนไทย' กับ 'โขลเขมร' ในมรดกโลกทางวัฒนธรรมของยูเนสโก
อะไรคือความต่างในการขึ้นทะเบียน 'โขนไทย' กับ 'โขลเขมร' ในมรดกโลกทางวัฒนธรรมของยูเนสโก
องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก ประกาศรับรอง “โขนไทย” (Khon mask dance drama) ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมวลมนุษยชาติอันจับต้องไม่ได้ (Intangible Cultural Heritage) ในการประชุมที่กรุงพอร์ตลูอิส ประเทศมอริเชียส เมื่อวันที่ 29 พ.ย.ที่ผ่านมา หลังจาก “ละครโขลวัดสวายอันแดต” (Lkhon Khol Wat Svay Andet) ของกัมพูชา ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกไปก่อนหน้านี้ ซึ่งโขนไทย กับละคอนโขลวัดสวายอันแดตของกัมพูชา ขึ้นทะเบียนคนละประเภทกัน
โดยยูเนสโกมีการกำหนดเกณฑ์และแบ่งแยกการพิจารณาเป็น 3 ประเภท คือ 1.มรดกทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ (representative list of intagible cultural heritage of humankind) 2.ภูมิปัญญาวัฒนธรรมที่ต้องได้รับการคุ้มครองอย่างเร่งด่วน (urgent list) และ 3.มรดกทางวัฒนธรรมที่เป็นแบบอย่างที่ดีในการสงวนรักษา (good practice) ซึ่งละครโขลของกัมพูชาขึ้นทะเบียนในรายการที่สอง เป็นมรดกที่ต้องได้รับการฟื้นฟูและอนุรักษ์ให้คงไว้สืบไป ส่วนโขนไทยที่ยื่นพิจารณาในประเภทที่หนึ่ง คือ เป็นมรดกที่แสดงถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมและสร้างความตระหนักเกี่ยวกับความสำคัญของมรดกชิ้นนี้
ก่อนหน้านี้ ชาวไทยและกัมพูชาเกิดความขัดแย้งกันเรื่องที่มาของโขน (ไทย) และละคอนโขล (กัมพูชา) ต่างฝ่ายต่างอ้างว่าเป็นต้นแบบและอีกฝ่ายลอกเลียนแบบ และพยายามขัดขวางไม่ให้แต่ละฝ่ายเสนอมรดกทางวัฒนธรรมดังกล่าวขึ้นทะเบียนกับยูเนสโก จนหวุดหวิดจะกลายเป็นความขัดแย้งระหว่างประเทศ
M2F ได้เคยรายงานไปก่อนหน้านี้ว่า ปัจจุบันเรายังไม่ทราบแน่ชัดว่า โขนในไทยเริ่มต้นขึ้นเมื่อใด แต่เราสามารถทราบได้ว่า โขลในกัมพูชารับมาจากราชสำนักไทยแน่นอน เช่น ในงานวิชาการเรื่อง “วาทกรรมนาฏศิลป์ราชสำนักกัมพูชายุคหลังอาณานิคม” โดย ซาซากาวาา ฮิเดโอะ ในวารสาร Southeast Asian Studies ฉบับที่ 42 เดือน มี.ค. 2005 ชี้ว่า ในรัชสมัยนักองค์ด้วง กัมพูชาอยู่ภายใต้อำนาจสยาม และรับนาฏศิลป์จากสยามไปเผยแพร่ หลังจากกัมพูชาเป็นอาณานิคมฝรั่งเศสแล้ว นาฏศิลป์ในราชสำนักยังถือว่าสยามเป็นต้นแบบ
อย่างไรก็ตาม คำอ้างที่ชาวกัมพูชามักยกขึ้นมาโต้เถียงคือ ไทยขโมยโขนไปจากกัมพูชา เมื่อคราวที่กองทัพไทยสมัยอยุธยามาตีเมืองนครธมแล้วกวาดต้อนครูนาฏศิลป์ไปด้วย วาทกรรมนี้เกิดขึ้นจากชาวฝรั้่งเศสเช่นกัน เช่น ข้ออ้างของ อะเดมาด เลอแคลร์ (Adémard Leclère) ชาวฝรั่งเศสที่เขียนบทความเรื่องนาฏศิลป์เขมร ที่แม้จะไม่อาจบ่ายเบี่ยงข้อเท็จจริงได้ว่า โขนละครเขมรสมัยพระบาทสมเด็จพระนโรดมใช้ภาษาไทยและมีนักแสดงจากไทยในคณะ แต่กลับอ้างโดยไม่มีหลักฐานว่า แม้จะได้จากไทย แต่ไทยรับมาจากเขมรยุคนครวัดอีกทอดหนึ่ง การอ้างนี้ถูกฮิเดโอะตำหนิว่าไม่มีมูล และชี้ว่า หากไทยรับไปจากยุคนครวัดจริงก็ต้องมีการปรับให้เป็นเอกลักษณ์ไทย จนกลายเป็นแบบฉบับไทย ไม่ใช่รับจากศตวรรษที่ 13 โดยไม่มีการปรับเปลี่ยน
ในส่วนของการขึ้นทะเบียนละคอนโขล กระทรวงวัฒนธรรมของกัมพูชา ก็ได้ออกมาแถลงข่าวน่ายินดีครั้งนี้ว่า ผลประสบความสำเร็จที่ละครโขลกัมพูชาได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดก เกิดจากความพยายามของรัฐบาล ภาคสังคม และแรงสนับสนุนจากประชาชน ทั้งละคอนโขลยังช่วยให้กัมพูชาเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในเวทีโลก การตัดสินใจขึ้นทะเบียนละคอนโขลเป็นมรดกโลก คือความภาคภูมิใจของกัมพูชา หลังกระทรวงวัฒนธรรมได้ยื่นเรื่องต่อยูเนสโกตั้งแต่วันที่ 31 มี.ค.ปีที่แล้ว ขณะที่ สมเด็จฮุนเซน ผู้นำกัมพูชา ก็ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คแสดงความยินดีในโอกาสนี้ด้วย ระบุว่า ถือเป็นเกียรติอันยิ่งใหญ่ของชาวกัมพูชา
ด้านสื่อกัมพูชารายงานว่า ต้นแบบของละครโขล เกิดขึ้นในต้นยุคอาณาจักรนครวัดนครธม โดยปรากฏรูปสลักบนผนังปราสาทนครวัด ส่วนละคอนโขลของวัดสวายอันแดตเริ่มมีการแสดงครั้งแรกในศตวรรษที่ 19 และจากหนังสือมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของกัมพูชา อ้างว่าละครโขลชุดนี้พัฒนาจากรูปแบบการร่ายรำดั้งเดิมของบุรุษเขมรเอง และแสดงแต่เฉพาะเรื่องเรียมเกร์ หรือ รามเกียรติ์ฉบับภาษาเขมร ในอดีตกัมพูชามีคณะละคอนโขลที่ริเริ่มจากศิลปินชั้นครูทั้ง 8 คน แต่เมื่อเกิดสงครามครูนาฏศิลป์ต่างล้มหายตายจากไป หลงเหลือแต่เพียงคณะ “ละคอนโขลของวัดสวายอันแดต” ที่ต้นกำเนิดพื้นเพอยู่ห่างจากกรุงพนมเปญ ราว 15 กม. และถูกถ่ายทอดต่อๆ กันมาจากรุ่นสู่รุ่นจนถึงยุคปัจจุบัน
ที่มา : หนังสือพิมพ์ M2F


