posttoday

ความพ่ายแพ้ของ "กฎหมายเด็ก" ที่ญี่ปุ่น

13 กันยายน 2561

สื่อญี่ปุ่นแฉความล้มเหลวของกฎหมายเยาวชน หลังอดีตเยาวชนที่เคยข่มขืนและฆ่าหญิงวัยรุ่นผ่านการรับโทษสถานเบา และหวนกลับมาก่อเหตุร้ายอีกครั้งเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่

สื่อญี่ปุ่นแฉความล้มเหลวของกฎหมายเยาวชน หลังอดีตเยาวชนที่เคยข่มขืนและฆ่าหญิงวัยรุ่นผ่านการรับโทษสถานเบา และหวนกลับมาก่อเหตุร้ายอีกครั้งเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่

เมื่อวันที่ 19 ส.ค. ชายชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งลงมือทำร้ายพนักงานชายบริษัทวัย 32 ปี โดยใช้กระบองเหล็กฟาดเข้าที่ไหล่ขวา จากนั้นใช้มีดปาดคอเหยื่อ โชคดีที่เหยื่อถูกตำรวจนำตัวส่งโรงพยาบาลได้ทัน โดยมีอาการบาดเจ็บเล็กน้อย เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ถนนสายหนึ่งในเมืองคาวางุจิ จ.ไซตามะ

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ในเวลาต่อมา ตำรวจสามารถรวบตัวคนร้ายเอาไว้ได้ ทราบชื่อว่า ชินจิ มินาโตะ วัย 45 ปี ถูกตั้งข้อหาพยายามฆ่า เจ้าตัวยอมรับว่าทำร้ายเหยื่อด้วยการทุบตีและใช้มีดเฉือนจริง แต่ไม่ได้ตั้งใจที่จะฆ่าเขา สาเหตุของการทำร้ายกัน คาดว่าเกี่ยวข้องกับยานพาหนะของเหยื่อ ซึ่งจากการรายงานของสถานีโทรทัศน์ NHK มินาโตะอ้างอีกว่า เขาเก็บมีดกับกระบองเอาไว้ในรถสำหรับป้องกันตัวเอง

กรณีนี้เหมือนเป็นพยายามฆ่าทั่วๆ ไป ถ้าหาก Josei Seven สื่อญี่ปุ่นไม่ขุดคุ้ยเบื้องหลัง จนกระทั่งทราบความจริงที่น่าตกใจและเพิ่งจะมีการเปิดเผยเรื่องดังกล่าววานนี้ โดยพบว่า มินาโตะมีชื่อเดิมว่า โนบุฮารุ มินาโตะ เป็นหนึ่งในเยาวชน 2 คนที่เคยก่อคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญเมื่อปี 1988 นั่นคือ คดีฆาตกรรม จุนโกะ ฟุรุตะ อันโด่งดัง

เมื่อวันที่ 25 พ.ย. 1988 มินาโตะซึ่งขณะนั้นอายุได้ 16 ปี กับเพื่อนชื่อ มิยาโนะ ฮิโรชิ ซึ่งเป็นสมุนแก๊งยากูซ่า กำลังเตร็ดเตร่อยู่ที่ย่านหนึ่งในกรุงโตเกียว โดยวางแผนที่จะปล้นและข่มขืนผู้หญิงสักคน เผอิญเวลา 20.30 น. มองเห็นฟุรุตะสาววัย 17 ปี ปั่นจักรยานมาเพียงลำพังหลังเสร็จจากงานพาร์ทไทม์ ทั้งคู่จึงวางแผนที่จะทำมิดีมิร้าย โดยมินาโตะถีบจักรยานของเหยื่อจนล้ม ส่วนฮิโรชิทำทีเป็นพลเมืองดีที่อยู่ใกล้ๆ กันรุดเข้าช่วยเหลือ และเสนอที่จะพากลับบ้าน แต่แทนที่้จะพากลับบ้าน เขากลับพาเธอไปที่โรงเก็บของแล้วจัดการข่มขืน แล้วลากไปข่มขืนซ้ำอีกครั้งที่ใกล้ๆ โรงแรมแห่งหนึ่ง จากนั้นชวนเพื่อนในแก๊งอีก 2 คน รวมเป็น 4 คน ร่วมกันรุมโทรมหญิงสาวต่อไป แล้วยังพาไปรุมโทรมต่อที่บ้านของมินาโตะอีกเรื่อยๆ

เธอถูกขังไว้ที่บ้านนานถึง 50 วัน ทั้งถูกข่มขืน ทำร้าย และทรมาน รวมแล้วเธอถูกรุมโทรมถึง 400 ครั้ง จนร่างกายของเธอเริ่มมีกลิ่นเหม็นเน่าเพราะอาการบาดเจ็บ ทำให้พวกวัยรุ่นทมิฬเกิดความรังเกียจจึงไม่ข่มขืนเธออีก แต่ไปล่าหญิงสาวมารุมโทรมอีกคน

จนกระทั่งวันที่ 4 ม.ค. 1989 กลุ่มวัยรุ่นบันดาลโทสะกับฟุรุตะ จึงทุบตีเธอด้วยลูกตุ้มเหล็ก ใช้น้ำตาเทียนราดบนร่างให้ทรมาน แม้เธอจะหมดสติก็ยังทุบตีไม่หยุด จากนั้นราดน้ำมันทั่วร่างแล้วจุดไฟเผา ฟุรุตะพยายามตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอด แต่ไม่รอดพ้นความตาย หลังจากถูกทุบตีและเผาร่างนาน 2 ชม. ฟุรุตะก็เสียชีวิต วัยรุ่นโฉดพยายามอำพรางศพโดยยัดใส่ในกลองแล้วเทซีเมนต์ทับไว้ จากนั้นนำไปทิ้งในรถขนปูนในย่านโคโต

ในวันที่ 23 ม.ค. ตำรวจจับตัวฮิโรชิและพวกในฐานะผู้ต้องสงสัยหลังพบกางเกงชั้นในสตรีในบ้านของเขา เจตนาของตำรวจก็คือ การสอบสวนคดีฆาตกรรมหญิงอีกคนหนึ่งกับลูกชายก่อนหน้านั้น 9 วัน แต่กลับกลายเป็นว่า ฮิโรชิกับพวกถูกทีมสอบสวนกดดันจนสารภาพการฆาตกรรมฟุรุตะอย่างไม่คาดคิด

คดีนี้สร้างความตกตะลึงให้กับสังคมญี่ปุ่นอย่างมาก แม้ว่าคนร้ายจะลงมืออย่างเหี้ยมโหดผิดมนุษย์ แต่เพราะเป็นผู้เยาว์ทำให้แต่ละคนได้รับโทษที่เบาแสนเบา เช่น ฮิโรชิรับโทษเพียง 20 ปี มินาโตะรับโทษไปเพียง 5-9 ปี ส่วนที่เหลือรับโทษไป 5-7 ปี และอีกคนติดคุกเพียง 10 ปีก็ออกมา ถือเป็นโทษที่ค่อนข้างเบา ทั้งยังได้รับการดูแลจากทางการเป็นพิเศษ เพราะยังเป็นผู้เยาว์

หลังจากรับโทษแล้ว บางคนแทนที่จะสำนึกกลับก่ออาชญากรรมที่เลวร้ายอีก ในจำนวน 4 คน ก่อเหตุและถูกดำเนินคดีหลังจากได้รับอิสรภาพแล้วถึง 3 คน รวมถึงมินาโตะที่อุตส่าห์เปลี่ยนชื่อเป็นชินจิ ก็ยังไม่อาจเปลี่ยนพฤติกรรมที่เลวร้ายได้

นิตยสารชูเคน ชินโจ ถึงกับระบุในบทความเมื่อวันที่ 6 ก.ย.ที่ผ่านมาว่า การที่คนร้ายในคดีฆาตกรรมฟุรุตะ ทั้ง 3 คนที่กระทำความผิดอีกครั้ง คือความล้มเหลวของกฎหมายเยาวชน

ที่มา www.m2fnews.com