posttoday

"รักแรกพบ"ของสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น

27 สิงหาคม 2561

"สนามเทนนิส"ในเมืองคุริซาวะ จ.นากาโนะ เป็นสถานที่พบรักกันของ สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ และสมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะ

"สนามเทนนิส"ในเมืองคุริซาวะ จ.นากาโนะ เป็นสถานที่พบรักกันของ สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ และสมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะ

เมื่อวันที่ 26 ส.ค.61 สำนักข่าวจิจิ รายงานว่า สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ และสมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะ แห่งญี่ปุ่น เสด็จมาเยือนสนามเทนนิส ที่เมืองคุริซาวะ ใน จ.นากาโนะ ซึ่งเป็นสถานที่ในความทรงจำของทั้งสองพระองค์

เพราะเมื่อ 61 ปีก่อน “เจ้าชายอากิฮิโตะ” ซึ่งในอนาคตจะทรงเป็นพระประมุขของญี่ปุ่น ทรงพบกับหญิงในดวงใจของพระองค์ คือหญิงสาวสามัญชนที่ชื่อ มิชิโกะ โชดะ

มิชิโกะเป็นบุตรสาวคนโตของ ฮิเดซาบูโร โชดะ ประธานและประธานกิตติมศักดิ์ของบริษัท นิชชิน ในช่วงเวลาก่อนที่ทั้งสองพระองค์จะทรงพบกัน มิชิโกะมีชายหนุ่มหลายคนแวะเวียนเข้ามาตีสนิท หนึ่งในนั้นคือ ยูกิโอะ มิชิมะ นักเขียนชื่อก้องโลกชาวญี่ปุ่น ถึงขนาดที่ครอบครัวสนับสนุนให้ทั้งสองคนสมรสกัน อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจริง เพราะหญิงสาวพบรักกับชายหนุ่มอีกคนต่างหาก (นอกจากนี้ ในเวลาต่อมา มิชิมะยังคว้านท้องฆ่าตัวตายเพื่อประกาศจุดยืนแนวคิดชาตินิยมและความคลั่งลัทธิบูชิโดของเขา)

ในเดือน ส.ค. 1957 มกุฎราชกุมาอากิฮิโตะเสด็จมาเล่นเทนนิสที่เมืองคุริซาวะ และได้ทรงเล่นโต้กับมิชิโกะ จนกระทั่งเกิดความสนิทสนมกันและทรงคบหากัน จนสื่อมวลชนขนานนามว่า “รักหวานในสนามเทนนิส”

อย่างไรก็ตาม มีกระแสต่อต้านมิชิโกะ เนื่องจากพื้นเพครอบครัวที่เป็นคริสตัง หรือผู้นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ขณะที่ประมุขของญี่ปุ่นนั้นทรงมีสถานะประหนึ่งสมมติเทพในศาสนาชินโต กระแสต้านนี้ถึงกับลือกันว่า จักรพรรดินีโคจุง พระราชมารดาของมกุฎราชกุมารอากิฮิโตะ ก็ทรงคัดค้านการคบหากัน และมีการขู่ทำร้ายครอบครัวโชดะอีกด้วย

หลังจากฟันฝ่าอุปสรรคและกระแสต่อต้านด้วยความมั่นคงในรัก กระทั่งในปี 1959 จึงมีการจัดพระราชพิธีอภิเษกสมรส และทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจร่วมกับพระสวามีเรื่อยมา จนกระทั่งปี 1990 มกุฎราชกุมารอากิฮิโตะทรงขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระจักรพรรดิ และในปี 2019 จะทรงสละราชสมบัติ

ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ทั้งสองพระองค์ทรงกลับมาเยี่ยมคอร์ตเทนนิสที่พบรักกันครั้งแรกอยู่บ่อยครั้ง และยังทรงลงสนามเมื่อเดือน ส.ค. 2013 อีกด้วย

ที่มา www.m2fnews.com

ภาพ เอเอฟพี