posttoday

เตือนน้ำดื่มยี่ห้อดังในไทยปนเปื้อน"พลาสติก"

16 มีนาคม 2561

เผยผลวิจัยพบน้ำดื่มบรรจุขวดหลายยี่ห้อที่วางจำหน่ายในไทยปนเปื้อนพลาสติก

เผยผลวิจัยพบน้ำดื่มบรรจุขวดหลายยี่ห้อที่วางจำหน่ายในไทยปนเปื้อนพลาสติก

องค์กรสื่อในสหรัฐเผยผลวิจัยที่น่าตกใจว่า น้ำดื่มบรรจุขวดยี่ห้อดังหลายยี่ห้อรวมทั้งที่วางจำหน่ายในประเทศไทยปนเปื้อนพลาสติก ซึ่งอาจมาจากกระบวนการบรรจุขวดหรือตัวขวดน้ำดื่มเอง

Orb Media องค์กรสื่อของสหรัฐ เผยผลการวิจัยคุณภาพน้ำดื่มบรรจุขวดซึ่งจัดทำโดยมหาวิทยาลัยแห่งรัฐนิวยอร์กในเมืองเฟรโดเนียของสหรัฐ โดยการทดสอบน้ำดื่ม 250 ขวด จาก 9 ประเทศทั่วโลก ได้แก่ จีน อินเดีย อินโดนีเซีย เคนยา เลบานอน เม็กซิโก สหรัฐ และไทย พบว่าตัวอย่าง 93% ปนเปื้อนอนุภาคพลาสติกขนาดเล็ก รวมถึงพอลิโพรไพลีน ไนลอน พอลิเอทิลีนเทเรฟทาเลต หรือ PET ซึ่งใช้ในการผลิตฝาขวด

ผู้วิจัยใช้เทคนิคการย้อมสีไนล์ เรด (Nile Red) เมื่อส่องด้วยแสงสีฟ้าจะทำให้อนุภาคพลาสติกเรืองแสงจนมองเห็นได้ชัด จากนั้นแยกออกมานับแล้วตรวจสอบอีกครั้งว่าเป็นพอลิเมอร์ชนิดใด

เชอร์รี่ เมสัน หัวหน้าทีมวิจัย เผยว่า 65% ของอนุภาคพลาสติกที่พบมีลักษณะเป็นเศษพลาสติกไม่ใช่เส้นใยพลาสติก จึงเชื่อว่าอนุภาคเหล่านี้ปนเปื้อนในขั้นตอนการบรรจุขวด หรือหลุดมาจากตัวขวดน้ำดื่มเองหรือจากการเปิดฝาขวด โดยน้ำดื่ม 1 ลิตร จะพบเศษพลาสติกขนาด 0.01 มม. ซึ่งใหญ่กว่าเส้นผ่าศูนย์กลางของเส้นผมมนุษย์ หรือที่เรียกว่าไมโครพลาสติก เฉลี่ย 10.4 ชิ้น

อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญยังไม่สามารถชี้ชัดว่าอนุภาคพลาสติกในน้ำดื่มส่งผลกระทบต่อร่างกายมนุษย์อย่างไร ทว่า เมสันเผยว่า มีความเชื่อมโยงระหว่างอนุภาคพลาสติกกับการเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งบางชนิด ปัญหาจำนวนอสุจิน้อย โรคสมาธิสั้น และโรคออทิสติก

ด้านเจ้าของแบรนด์น้ำดื่มที่ถูกนำมาตรวจสอบยืนยันกับสำนักข่าวบีบีซีว่า โรงงานบรรจุน้ำดื่มของตัวเองยึดมาตรฐานสูงสุดในการผลิต

ในเวลาต่อมา บรูซ กอร์ดอน เจ้าหน้าที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ดูแลด้านน้ำดื่มและสุขอนามัย เผยว่า องค์การอนามัยโลกจะต่อยอดผลวิจัยชิ้นล่าสุดด้วยการศึกษาถึงผลกระทบของการดื่มน้ำปนเปื้อนอนุภาคพลาสติก เพื่อออกมาตรการแก้ปัญหาในอนาคต

ขณะที่ แจ็กเกอรีน ซาวิตซ์ หัวหน้าฝ่ายนโยบายประจำภูมิภาคอเมริกาเหนือของ Oceana กลุ่มวิจัยทางทะเล เผยว่า ผลวิจัยชิ้นนี้เป็นหลักฐานสนับสนุนอย่างดีว่าเราควรเลิกใช้ขวดน้ำพลาสติกได้แล้ว

 

 ที่มา : หนังสือพิมพ์ M2F