posttoday

"สหรัฐ"แข็งกร้าวอิหร่าน ประกาศไม่รับข้อตกลงนิวเคลียร์

15 ตุลาคม 2560

ทรัมป์ ปฏิเสธรับรองข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านปี 2015 กูรูหวั่นทำภาคเอกชนเจออุปสรรคยิ่งขึ้น

ทรัมป์ ปฏิเสธรับรองข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านปี 2015 กูรูหวั่นทำภาคเอกชนเจออุปสรรคยิ่งขึ้น

ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ประกาศไม่รับรองข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านกับ 6 ประเทศมหาอำนาจ เมื่อปี 2015 พร้อมเตือนว่าอาจยกเลิกข้อตกลงหากสภาคองเกรสและประเทศพันธมิตรไม่ดำเนินมาตรการเพิ่ม โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าวเสี่ยงเพิ่มอุปสรรคสำหรับเอกชนที่ทำธุรกิจในอิหร่าน

หลังการประกาศดังกล่าว สภาคองเกรสจะมีเวลา 60 วันในการตัดสินใจว่าจะกลับมาใช้มาตรการคว่ำบาตรอิหร่านหรือไม่ โดยข้อตกลงเมื่อปี 2015 ยกเลิกการคว่ำบาตรอิหร่านบางส่วน แลกเปลี่ยนกับการให้อิหร่านลดการเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียมที่ใช้พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์

แม้ เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ เปิดเผยว่า ความเคลื่อนไหวล่าสุดจะไม่ส่งผลต่อเอกชนสหรัฐที่ทำธุรกิจในอิหร่าน เนื่องจากได้รับการอนุญาตพิเศษ แต่ วอลสตรีทเจอร์นัล รายงานว่า คำประกาศของทรัมป์ถือเป็นสัญญาณว่าสหรัฐกำลังพิจารณาใช้มาตรการคว่ำบาตรกับอิหร่านอีก ซึ่งอาจเพิ่มข้อจำกัดในการทำธุรกิจสำหรับเอกชน

“การมอบหมายให้สภาคองเกรสเป็นผู้ตัดสินใจในขั้นต่อไป จะทำให้ปัจจัยแวดล้อมในการทำธุรกิจไม่แน่นอนมากขึ้น และทำให้การเจรจาข้อตกลงกับอิหร่านยากยิ่งกว่าเดิม” อิมาน นาสเซอรี ที่ปรึกษาอาวุโสจากบริษัทวิจัย เอฟจีอี กล่าว

วอลสตรีท เจอร์นัล ยังรายงานอ้างแหล่งข่าวเกี่ยวข้องว่า บริษัทพลังงานรายใหญ่ เช่น รอยัล ดัตช์ เชลล์ สัญชาติดัตช์และอังกฤษ เอนี ของอิตาลี และสแต็ทออยล์สัญชาตินอร์เวย์ มีแนวโน้มไม่ทำข้อตกลงด้านพลังงานกับอิหร่านเพิ่มเติม หากทรัมป์กลับไปใช้มาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน ขณะที่ความเคลื่อนไหวของทรัมป์คาดว่าไม่กระทบข้อตกลงพลังงานที่ดำเนินการไปแล้ว เช่น กรณีโททาลจากฝรั่งเศสที่ลงทุน 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.3 หมื่นล้านบาท) พัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาติในอิหร่านเมื่อเดือน ก.ค.

ด้าน อังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนี ซึ่งร่วมลงนามข้อตกลง แสดงจุดยืนสวนทางกับทรัมป์ โดยระบุว่า ข้อตกลงดังกล่าวเกี่ยวพันกับผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของชาติ และการยกเลิกข้อตกลงไม่ได้ขึ้นอยู่กับประเทศเดียว ขณะที่ประธานาธิบดี ฮัสซัน รูฮานี ของอิหร่าน เปิดเผยว่า อิหร่านจะยังปฏิบัติตามข้อตกลงต่อ พร้อมเตือนว่าสหรัฐจะโดดเดี่ยวยิ่งขึ้นจากการตัดสินใจดังกล่าว 

ภาพ เอเอฟพี