posttoday

เบื้องหลัง9/11กับทฤษฎีสมคบคิด

11 กันยายน 2554

คงไม่มีทฤษฎีไหนน่าตกใจเท่ากับทฤษฎีที่ว่า แท้จริงแล้วรัฐบาลจอร์จ ดับเบิลยู. บุช อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ครั้งนี้

คงไม่มีทฤษฎีไหนน่าตกใจเท่ากับทฤษฎีที่ว่า แท้จริงแล้วรัฐบาลจอร์จ ดับเบิลยู. บุช อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ครั้งนี้

โดย...ทีมข่าวต่างประเทศ

รถแท็กซี่สีเหลืองอันเลื่องชื่อของนิวยอร์กคันหนึ่งกำลังวิ่งอยู่บนท้องถนนของแมนฮัตตันอย่างช้าๆ ฝ่าการจราจรที่ติดขัดเป็นประจำในช่วงเวลารีบเร่งในมหานครแห่งนี้

ภายในรถดังกล่าว อลิซ โดโนแวน นักธุรกิจหญิงวัย 52 ปี ผู้ซึ่งเกิดและเติบโตในนิวยอร์ก หรือเรียกได้ว่าเป็น “นิวยอร์กเกอร์” อย่างแท้จริงนั้น กำลังส่งข้อความหาลูกค้าบนโทรศัพท์แบล็คเบอร์รี่

นี่คือกิจวัตรประจำวันของโดโนแวน ทุกเช้าเธอจะขึ้นแท็กซี่จากบ้านพักเพื่อเดินทางไปยังที่ทำงานซึ่งอยู่บริเวณฟิฟท์อะเวนิว ย่านธุรกิจชื่อดังของโลก และทุกวันโดโนแวนก็จะยุ่งอยู่กับการส่งข้อความหาลูกค้าจนแทบไม่มีเวลาได้นั่งพักชมบรรยากาศช่วงเช้าจากรถแท็กซี่เลย

เบื้องหลัง9/11กับทฤษฎีสมคบคิด

อย่างไรก็ตาม เมื่อรถได้เลี้ยวเข้าสู่ถนนลิเบอร์ตี โดโนแวนก็หยุดกิจกรรมนี้ทันที และหันไปมองนอกกระจกพร้อมกับถอนหายใจ ใครที่กำลังเดินอยู่ตามท้องถนนก็จะสามารถเห็นน้ำตาที่ค่อยๆ ไหลรินบนใบหน้าของผู้หญิงคนนี้

“ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่ฉันนั่งรถผ่านถนนลิเบอร์ตีแล้วไม่เสียน้ำตา” โดโนแวนกล่าว ทั้งนี้เป็นเพราะถนนลิเบอร์ตีนั้นเป็นสถานที่ตั้งของอาคารเวิลด์เทรด อาคารแฝดซึ่งถล่มเมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2544 ภายหลังถูกเครื่องบินโดยสาร 2 ลำ พุ่งชน

แม้เวลาจะผ่านมา 10 ปี แต่ก็ไม่มีใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวนิวยอร์ก สามารถลืมเหตุวินาศกรรม 11 ก.ย. ได้ลง เพราะเหตุการณ์สะท้านโลกครั้งนั้นได้ทิ้งรอยแผล|ที่บาดลึกลงในจิตใจของชาวอเมริกันทุกคน

ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีก่อน ในช่วงเช้าของวันที่ 11 ก.ย. โดโนแวนกำลังแวะซื้อกาแฟใกล้ที่ทำงาน ก่อนที่จะได้ยินเสียงดังลั่น

เสียงที่ดังกึกก้องไปทั่วเกาะแมนฮัตตันนั้น คือเสียงของเครื่องบินโดยสารสายการบินอเมริกัน แอร์ไลน์ส ขณะพุ่งชนอาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ 1 ระหว่างชั้นที่ 94 ถึง 98 โดยวินาทีนั้นไม่มีใครรู้เลยว่า นี่คือการโจมตีของกลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะห์ จนกระทั่ง 1 นาทีต่อมา เครื่องบินลำที่สองก็พุ่งชนอาคารเวิลด์เทรด 2 และเป็นที่แน่ชัดว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นไม่ได้เป็นอุบัติเหตุอย่างแน่นอน

ภาพเหตุการณ์เครื่องบิน 2 ลำพุ่งชนตึกแฝด ก่อนที่ตึกทั้งสองหลังจะถล่มลงมาต่อหน้าต่อตาในอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ตรึงผู้คนทั่วโลกให้อยู่หน้าจอโทรทัศน์ โดยไม่อาจเชื่อในสิ่งที่เห็น โลกก็ยิ่งตกตะลึงยิ่งกว่าเมื่อทราบว่ามีการจี้เครื่องบินอีก 2 ลำ โดยลำหนึ่งได้พุ่งชนอาคารเพนตากอน ในรัฐเวอร์จิเนีย ส่วนอีกลำตกลงบนทุ่งหญ้าในรัฐเพนซิลเวเนีย

เกือบ 3,000 ชีวิตต้องสังเวยในเหตุก่อการร้ายครั้งร้ายแรงที่สุดเหตุการณ์หนึ่งในประวัติศาสตร์โลก และทุกคนก็ทราบดีว่า นับตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา ทุกอย่างก็จะไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิม

“ฉันไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะต้องสูญเสียอะไรมากมายขนาดนี้ภายในไม่กี่ชั่วโมง” โดโนแวน กล่าว โดยเธอนั้นสูญเสียญาติและเพื่อนทั้งหมด 5 คน จากเหตุโจมตีครั้งนี้

อย่างไรก็ตาม โดโนแวนก็ไม่ใช่คนเดียวที่มีความรู้สึกโศกเศร้าทุกครั้งที่นึกถึงวันที่ 11 ก.ย. เพราะการสำรวจล่าสุดชี้ให้เห็นว่า ชาวอเมริกันส่วนใหญ่นั้นยังคงทำใจไม่ได้กับเหตุการณ์ในวันนั้น

ทุกครั้งที่ชาวนิวยอร์กได้ยินเสียงเครื่องบิน ทุกครั้งที่รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือน หรือแม้แต่อุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ อย่างเหตุไฟดับทั่วเมือง ผู้คนก็จะรู้สึกหวาดกลัวทันที

“ความทรงจำในวันนั้นยังคงหลอกหลอนฉัน และฉันก็จะคิดอยู่เสมอว่า เราอาจถูกโจมตีได้ทุกเมื่อ” ลิซา ชมิตท์ ชาวนิวยอร์กรายหนึ่ง กล่าว

ทั้งนี้ แม้คนทั่วไปจะเชื่อว่า ผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ในวันนั้นคือ กลุ่มอัลกออิดะห์ กลุ่มก่อการร้ายศัตรูหมายเลข 1 ของสหรัฐ แต่นับตั้งแต่เกิดเหตุ 11 ก.ย. 2544 ก็มีทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดผุดขึ้นมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นทฤษฎีที่ว่าสายลับอิสราเอลเป็นผู้ก่อเหตุอย่างแท้จริง หรือทฤษฎีที่ระบุว่า เหตุ 11 ก.ย. เป็นฝีมือของกลุ่มก่อการร้ายอีกกลุ่มที่ไม่ใช่กลุ่มอัลกออิดะห์

ทว่า คงไม่มีทฤษฎีไหนโด่งดังและน่าตกใจเท่ากับทฤษฎีที่ว่า แท้จริงแล้วรัฐบาลของจอร์จ ดับเบิลยู. บุช เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์สะท้านโลกครั้งนี้นั่นเอง

ทฤษฎีดังกล่าว ระบุว่า รัฐบาลสหรัฐทราบล่วงหน้านานหลายเดือนว่า กลุ่มอัลกออิดะห์ได้วางแผนจี้เครื่องบินโดยสาร 4 ลำเพื่อเข้าพุ่งชนสถานที่สำคัญ แต่แทนที่จะเตือนภัยและป้องกันเหตุครั้งนี้ รัฐบาลกลับสั่งให้มีการวางระเบิดภายในอาคารเวิลด์เทรดเพื่อให้มั่นใจว่าอาคารแฝดอันโด่งดังนั้นจะถล่มอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ หลายฝ่ายเชื่อว่าสาเหตุที่บุชต้องการให้แผนโจมตีสหรัฐครั้งนี้สำเร็จลุล่วงก็เพื่อที่จะได้มีข้ออ้างในการบุกอิรัก และยึดครองทรัพยากรสำคัญซึ่งก็คือ น้ำมัน อีกทั้งบางคนยังเชื่อว่า อดีตประธานาธิบดีอาจพยายามตั้งรัฐบาลอิรักที่อยู่ภายใต้การควบคุมของสหรัฐ ซึ่งจะนำไปสู่การครอบครองชาติอาหรับในอนาคต

เบื้องหลัง9/11กับทฤษฎีสมคบคิด บุช

อาจเป็นข้อกล่าวหาที่เหลือเชื่อ แต่ทฤษฎีนี้ก็ไม่ได้เป็นแค่ทฤษฎีลอยๆ เพราะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีการนำเสนอหลักฐานมากมายเพื่อสนับสนุนทฤษฎีนี้ ภาพยนตร์เรื่อง “Loose Change” ภาพยนตร์สารคดีที่กำกับโดย ไดแอน เอเวอร์รี เมื่อปี 2548 ก็นับว่าเป็นแหล่งรวมข้อมูลที่ครบถ้วนเลยทีเดียว

ในสารคดีเรื่องนี้ ผู้กำกับได้รวบรวมบทสัมภาษณ์และข้อมูลข่าวสารมากมายเกี่ยวกับเหตุการณ์ 11 ก.ย. โดยสามารถสรุปเป็น “ข้อสังเกต” หรือข้อสงสัยต่างๆ ได้ดังต่อไปนี้

ข้อสังเกตประการแรกก็คือ อาคารแฝดเวิลด์เทรดนั้นไม่สามารถถล่มลงมาได้เพียงเพราะถูกเครื่องบินพุ่งชนเท่านั้น อีกทั้งสิ่งที่น่าแปลกใจก็คือ การถล่มของอาคารนั้นเป็นการถล่มในแนวตั้งคล้ายกับการถล่มที่เกิดขึ้นเวลามีการวางระเบิดอาคารเพื่อทุบทำลาย โดยหลายคนนั้นมองว่า ลักษณะการถล่มของตัวอาคารทั้งสองนั้นค่อนข้าง “เรียบร้อย” มากกว่าที่จะสร้างความเสียหายให้กับอาคารรอบข้างซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า อาจมีการวางระเบิดตัวอาคารเพื่อให้มีการถล่มง่ายขึ้น

ข้อสังเกตที่ 2 คือ ทาวเวอร์ 7 ของอาคารเวิลด์เทรดนั้นเกิดถล่มอย่างรวดเร็วจนน่าประหลาด แม้ไม่ได้ถูกโจมตีด้วยเครื่องบินใดๆ เลย

ข้อสังเกตที่ 3 คือ มีบางคนทราบล่วงหน้าว่าจะเกิดการโจมตีเนื่องจากในวันที่ 10 ก.ย. นั้นมีการซื้อขายหุ้นที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากวินาศกรรมครั้งนี้ในตลาดหุ้นวอลสตรีต หรือกล่าวอีกอย่างก็คือ มีกลุ่ม|คนที่ทราบว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นจึงได้ตัดสินใจเก็งกำไรหุ้น

ข้อสังเกตที่ 4 คือ มีกระแสข่าวว่า เครื่องบินอเมริกัน แอร์ไลน์ส เที่ยวบินที่ 77 ไม่ได้พุ่งเข้าชนอาคารเพนตากอนอย่างที่หลายคนคิด แต่ขีปนาวุธของสหรัฐต่างหากที่ได้พุ่งชนอาคารเพนตากอน “ถ้าเครื่องบินชนเพนตากอนจริงแล้วซากเครื่องอยู่ที่ไหน” ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซียกล่าว โดยมองว่าสื่อนั้นไม่เคยนำเสนอข่าวการกู้ซากเครื่องบินหรือผลการตรวจสอบกล่องดำเลย

“เป็นไปไม่ได้ที่เครื่องบินลำนึงจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย”

นอกจากนี้ อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซียยังไม่ปักใจเชื่อว่า กลุ่มก่อการร้ายมุสลิมจะสามารถดำเนินตามแผนการได้โดยไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ เนื่องจากการโจมตีลักษณะนี้ต้องอาศัยการวางแผนอย่างรอบ คอบและแยบยลเป็นเลิศสุดที่จะหาคำบรรยายได้

ทั้งนี้ มีชาวอเมริกันไม่น้อยเลยที่เชื่อทฤษฎีนี้ โดยจากผลสำรวจความคิดเห็นของสคริปส์ ฮาเวิร์ด เมื่อปี 2549 พบว่า 36% ของชาวอเมริกันเชื่อว่ารัฐบาลอเมริกันมีส่วนรู้เห็นกับเหตุ 9/11 “คนที่โง่คือคนที่เชื่อคำกล่าวอ้างของรัฐบาลต่างหาก” เดวิด เรย์ กริฟฟิน นักเขียนรายหนึ่งกล่าว กระทั่งเวลาผ่านไป 1 ทศวรรษ ผู้ที่เชื่อในทฤษฎีสมคบคิดก็ยังมีอยู่มากและมีอิทธิพลไม่ใช่น้อยในสหรัฐ

ด้านนักวิเคราะห์กล่าวว่า การที่ชาวอเมริกันเชื่อในทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร โดย เคที โอล์มสเต็ด อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์จาก มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เดวิส นั้นมองว่า ทุกวันนี้ชาวอเมริกันก็ทราบดีว่า ที่ผ่านมานั้นบุชได้เคยโกหกประชาชนมามากเพียงใด

ทุกคนรู้ว่ารัฐบาลของบุชได้พยายามสร้างภาพ ซัดดัม ฮุสเซน อดีตผู้นำเผด็จการของอิรัก ให้เป็นบุคคลที่น่ากลัวด้วยการโกหกว่า ฮุสเซนนั้นมีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ในครอบครองและจะใช้มันโจมตีสหรัฐ จนชาวอเมริกันนั้นหวาดกลัวและสุดท้ายก็เห็นชอบกับปฏิบัติการบุกอิรัก

“ถ้าบุชบิดเบือนความจริงในขณะนั้น แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า บุชไม่ได้โกหกเกี่ยวกับเหตุการณ์ 11 ก.ย.” โอล์มสเต็ด กล่าว

ขณะเดียวกันก็มีนักวิเคราะห์อีกกลุ่มมองว่า ทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดเหล่านี้เป็นเพียงเครื่องมือที่ชาวอเมริกันใช้ในการรับมือกับความโศกเศร้าและความรู้สึกตกตะลึงหวาดกลัวจากเหตุการณ์ในวันนั้น “ชาวอเมริกันไม่อยากจะเชื่อและบางคนนั้นก็ถึงขั้นไม่อาจยอมรับได้ว่า ชายมุสลิม 19 คน ที่มีเพียงมีดคัตเตอร์ จะสามารถสร้างความเสียหายและฆ่าผู้คนได้มากมายขนาดนี้” ริช แฮนด์ลีย์ อาจารย์ทางด้านสื่อสารมวลชนจากมหาวิทยาลัยคินนิพีค กล่าว โดยมองว่าการเชื่อทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดเหล่านี้ก็เป็นเพียงการโกหกตัวเอง เพื่อที่จะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับความเศร้าโศก

ดังนั้น แฮนด์ลีย์จึงมองว่า การมัวแต่นั่งถกเถียงกันว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ครั้งนี้ ก็เป็นเรื่องที่ไร้สาระและเสียเวลาอย่างยิ่ง เพราะสุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงเช้าของวันที่ 11 ก.ย. 2544 และไม่มีใครสามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขความผิดพลาดใด แต่ความจริงที่ปรากฏเด่นชัดก็คือ ความสูญเสียที่มากเกินคำบรรยาย

ในวันนี้ประชาคมโลกจะคอยเฝ้าดูการรำลึก 10 ปี ของเหตุ 11 ก.ย. และเชื่อว่าทุกคนก็จะเป็นกำลังใจให้ชาวอเมริกันอยู่เสมอและหวังว่า 10 ปีที่ผ่านมานี้ จะช่วยให้พวกเขาสามารถก้าวเดินได้ต่อไป