‘บ้านศาลาดิน’ สร้างสุขสู่ชุมชนด้วยนวัตวิถี
นาทีนี้ใครๆ ก็เริ่มรู้จัก “ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี”
นาทีนี้ใครๆ ก็เริ่มรู้จัก “ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี” ที่ดำเนินการโดยกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ภายใต้งบประมาณโครงการไทยนิยมยั่งยืนกันมากขึ้น นั่นเพราะการดำเนินงานที่ขับเคลื่อนไปพร้อมกันถึง 3,273 ชุมชนหมู่บ้านทั่วประเทศ ด้วยการนำนวัตกรรมมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP และดึงเสน่ห์วิถีชีวิตมาเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าสู่ชุมชน เพื่อก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ และนำพาไปสู่การสร้างความสุขอย่างยั่งยืนให้แก่ชุมชนนั่นเอง
ย้อนหลังไปเมื่อปี 2546 คงต้องยอมรับว่า OTOP หรือโครงการ “หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์” ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงต่อเศรษฐกิจและสังคมไทยเป็นอย่างมาก สินค้า OTOP ได้รับการปรับปรุงพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง มีรูปแบบที่หลากหลายด้วยการสร้างสรรค์ที่แปลกใหม่มากยิ่งขึ้น และด้วยความเชื่อว่าเอกลักษณ์และเสน่ห์ของวิถีชีวิตไทย สามารถนำมาสร้างสรรค์เป็นมูลค่าได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด จึงเกิดเป็นโครงการ “ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี” ขึ้น โดยเป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP ด้วยนวัตกรรม บวกกับการส่งเสริมการรักษาอัตลักษณ์วิถีชีวิตชุมชนให้คงอยู่อย่างมีคุณค่า
หนึ่งในชุมชนที่มีการพัฒนาเป็นไปตามแนวทางของ OTOP นวัตวิถี ได้อย่างโดดเด่นจนได้รับคัดเลือกให้เป็น “ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีต้นแบบ” ซึ่งมีทั้งหมด 50 ชุมชน นั่นคือ “บ้านศาลาดิน” ชุมชนริมคลองมหาสวัสดิ์ ต.มหาสวัสดิ์ อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม ตั้งอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ
คลองมหาสวัสดิ์เป็นคลองที่ขุดขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อขุดคลองเสร็จ มีการสร้างศาลาริมคลองไว้ 7 ศาลา หนึ่งในนั้นมีชื่อว่า “ศาลาดิน” จึงเป็นที่มาของชื่อหมู่บ้านทุกวันนี้ และการท่องเที่ยวโดยชุมชนของที่นี่เริ่มจาก กิจกรรมล่องเรือชมสวน
บริเวณจุดขึ้นลงเรือของกิจกรรมล่องเรือ หากเป็นช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ก็จะมีตลาดนัดขายสินค้า OTOP และสินค้าพื้นเมืองหลากชนิด ทำให้กลายเป็นหนึ่งในปลายทางท่องเที่ยวยอดนิยม ของคนกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติอีกด้วย
การล่องเรือชมวิถีชีวิตคนริมคลอง ชมนาบัว และสวนกล้วยไม้ เป็นเรื่องที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนบ้านศาลาดิน เพราะจะได้เพลิดเพลินกับทัศนียภาพสองฝั่งคลอง และจุดแวะจุดแรกก็คือ “นาบัว”
คนที่นี่เล่าให้ฟังว่า “นาบัว” เป็นอาชีพที่ทำกันมานานแล้ว และจุดเด่นของกิจกรรมนี้ก็คือ สามารถทดลองเก็บบัวด้วยตัวเอง และนอกจากจะได้เห็นบรรยากาศอันงดงามแล้ว ยังได้ความรู้ควบคู่กันไปด้วย เพราะว่าคนที่คอยดูแลนักท่องเที่ยว จะเป็นผู้มีความรู้และมีประสบการณ์โดยตรงกับอาชีพและวิถีชีวิตของคนที่นี่ นอกจากจะได้รู้กรรมวิธีการทำนาบัวแล้ว เราจึงได้รู้อีกว่าหน้าร้อนดอกบัวจะดกมาก ทำให้ขายได้ราคาต่ำกว่าในช่วงหน้าฝนซึ่งบัวจะเสียหายมากและมีผลผลิตน้อยจึงขายได้ราคาดีกว่าช่วงหน้าร้อน
ต่อจาก “นาบัว” จุดแวะต่อไปคือ “บ้านฟักข้าว” ซี่งมีจุดเด่นอยู่ 2 เรื่องคือ ฟัง “แหล่ฟักข้าว” กับเจ้าของบ้าน และ “ชิมฟักข้าว” กันแบบสดๆ แน่นอนว่าผลสีส้มแสดตรงหน้าใครเห็นก็ต้องอยากรู้ว่ารสชาติเป็นอย่างไร ที่สำคัญเจ้าฟักข้าวที่ว่านี้ยังสามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น น้ำฟักข้าว สบู่ฟักข้าว หรือแม้กระทั่ง ก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟน้ำฟักข้าวได้อีกด้วย
แม้ว่าจะเป็นธุรกิจหลักของเจ้าบ้าน แต่ดูเหมือนว่าที่บ้านฟักข้าวแห่งนี้พร้อมที่จะแบ่งปันความรู้ และประสบการณ์ให้แก่ทุกคนที่สนใจ หรืออยากนำไปลองทำที่บ้าน ด้วยความเชื่อเรื่องการแบ่งปัน มากกว่าการแข่งขันซึ่งเป็นเรื่องที่มักจะพบเห็นได้จากชุมชนท่องเที่ยวที่ชาวบ้านลุกขึ้นมาพัฒนาชุมชนของตนเอง นั่นก็เพราะว่าเขาเรียนรู้จากที่อื่นมาพัฒนาตนเอง จึงพร้อมจะแบ่งปันสิ่งที่เคยได้รับให้แก่คนอื่นๆ เช่นกัน ใครได้มาเยี่ยมเยือนจึงมักจะพกพาเอาความอิ่มเอมใจกับประสบการณ์เหล่านี้กลับไปนั่นเอง
หลังจากได้เรียนรู้ประสบการณ์จาก “บ้านศาลาดิน” ทำให้เราค้นพบว่า ความพิเศษของกิจกรรมในชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี คืออัตลักษณ์หรือเรื่องราวเฉพาะตัวของแต่ละชุมชน แม้จะคล้ายกันแต่ไม่มีที่ไหนเหมือนกัน เพราะกิจกรรมและสินค้าต่างๆ เกิดขึ้นจากการผสมผสานด้วยการนำทรัพยากรและวิถีชีวิตที่มีอยู่เดิมของผู้คนมาสร้างสรรค์เป็นประสบการณ์ให้แก่ผู้มาเยือน
ตัวอย่างที่บ้านศาลาดิน นอกจากจะได้เรียนรู้วิถีเกษตร กิจกรรมทางน้ำ และเรื่องราวของผลิตภัณฑ์ OTOP แล้ว ยังมีการนำชมสวนกล้วยไม้ อีกหนึ่งอาชีพของคนที่นี่ และเช่นเคยแม้ว่ากล้วยไม้ที่นี่จะไม่ได้สวยงามหรือพิเศษกว่าที่อื่นๆ แต่กลับมีคนมาเยี่ยมชมอยู่ไม่ขาด นั่นเพราะส่วนหนึ่งอาจเป็นด้วยอัธยาศัยไมตรีของเจ้าบ้านที่แสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจนว่า พร้อมจะเปิดบ้านต้อนรับอย่างยินดี
กิจกรรมปิดท้ายที่ใครต่อใครพากันมาลองแล้วต้องติดใจ นั่นคือการนั่งรถอีแต๋นเที่ยวชมสวนผลไม้ นอกจากเจ้าของสวนจะสร้างความเพลิดเพลินด้วยลีลาการขับรถอีแต๋นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวแล้ว ยังให้ความรู้แก่ผู้มาเยือนอีกด้วย เช่นว่า ในสวนผลไม้ไม่จำเป็นต้องปลูกทุกอย่างที่กินผลได้ มีการปลูกต้นทองหลางไว้บังร่มให้ต้นส้ม เพราะต้นทองหลางเป็นไม้ใหญ่เจอน้ำท่วมก็ไม่ตายอีกต่างหาก
หลังจากนั้นก็ได้เวลานั่งชิลชิมผลไม้สดๆ จากสวน พูดคุยกันแบบกันเอง แม้ว่าผลไม้ต่างๆ จะหาซื้อได้ตามตลาดทั่วไป แต่ประสบการณ์และความรู้สึกที่ได้รับนั้น ต้องบอกว่าพิเศษแบบหาที่ไหนไม่ได้แน่นอน ยิ่งได้รู้ว่า “บ้านศาลาดิน” เป็น 1 ใน 50 “ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีต้นแบบ” ของกรมการพัฒนาชุมชนด้วยแล้ว ทำให้นึกอยากไปเยี่ยมชุมชนอื่นๆ ขึ้นมาเลยทีเดียว