เสน่ห์เจียงซี ธรรมชาติในม่านหมอก และชีวิตย้อนยุคแบบเรียบง่าย
เมื่อพูดถึงมณฑลเจียงซี เชื่อว่าคนไทยหลายคนอาจยังไม่รู้จัก
เมื่อพูดถึงมณฑลเจียงซี เชื่อว่าคนไทยหลายคนอาจยังไม่รู้จัก แท้จริงแล้วมณฑลนี้เป็นมณฑลที่มีความน่าสนใจ ทั้งในแง่ของประวัติศาสตร์ ภูมิประเทศ และสถานที่ท่องเที่ยว เพราะนี่คือมณฑลที่เป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางของกองทัพแดงที่ยิ่งใหญ่ของจีน เป็นจุดเริ่มต้นของเครื่องลายครามที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดของจีน หมู่บ้านชนบทที่มีชื่อเสียงและสวยงามที่สุดของประเทศก็อยู่ที่มณฑลนี้ แถมยังมีอุทยานแห่งชาติ มีสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์อีกมากมาย
ที่สำคัญการเดินทางมาจากเมืองไทยมาที่มณฑลแห่งนี้ เพียงแค่ 3 ชั่วโมงกว่าก็ถึงแล้ว
วันนี้เราจะนำเอาประสบการณ์การเดินทางทั้งหมดในมณฑลนี้ มาสรุปให้อ่านกันแบบกระชับและเข้าใจง่ายๆ พร้อมกับข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับคนที่สนใจจะเดินทางมาท่องเที่ยวด้วยตัวเอง
ก่อนที่เราจะมาทำสารคดีที่หนานชาง มีคนบอกกับเราว่า “จะไปทำไมที่หนานชาง...ไม่เห็นจะมีอะไรเลย”
แต่จากประสบการณ์ตรงของเรา ณ เวลานี้ เรามั่นใจมากที่จะบอกกับทุกคนว่า “หนานชาง มีดีจริง และเป็นอีกหนึ่งเมืองของจีนที่น่ามาเที่ยวมากๆ!!!”
เถิงหวางเก๋อ เป็นสถานที่ที่เราได้ไปแล้ว ไม่รู้สึกผิดหวังเลย
ถ้าใครได้มาถึงหนานชางแล้ว ควรไปเที่ยวเถิงหวางเก๋อตอนเช้าๆ เพราะอากาศจะไม่ร้อนมาก และพื้นที่โดยรวมทั้งหมดก็ค่อนข้างกว้าง อาจใช้เวลามากสักหน่อย ถ้าใครพอมีเวลา จะเดินเที่ยวที่นี่ทั้งวันก็ยังได้
ตอนเย็นๆ ก็แนะนำให้มาเดินเล่นที่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำ อย่างเช่น พื้นที่ที่มีชื่อว่า “จัตุรัสชิวสุ่ย”
ก่อนกลับเข้าที่พักเราขอแนะนำให้ขึ้นไปบนสะพานปายี โดยกะเวลาให้ไปถึงที่นั่นก่อน 2 ทุ่ม เพราะจะมองเห็นแสงไฟที่ประดับเถิงหวางเก๋อได้ชัดเจนและสวยงามอย่างยิ่ง
นอกจากจะเห็นแสงไฟจากเถิงหวางเก๋อแล้ว ยังจะได้เห็นแสงไฟที่ประดับบนกลุ่มอาคารริมน้ำที่สวยงามและน่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก ที่สำคัญคือ ระบบแสงสีของทุกอาคารเชื่อมต่อเป็นภาพเดียวกันได้ด้วย ทำให้กลุ่มอาคารริมน้ำทั้งหมดเป็นคล้ายกับจอโปรเจกเตอร์จอใหญ่ๆ เลยทีเดียว ถ้าตรงกับช่วงงานเทศกาลเฉลิมฉลองที่สำคัญด้วยแล้ว ที่นี่ก็จะอลังการยิ่งขึ้นไปอีก
ก่อนกลับลงจากสะพาน อย่าลืมถ่ายรูปสะพานปายีแห่งนี้ไว้ด้วย เพราะว่าที่นี่เป็นสะพานแขวนแห่งแรกของมณฑลเจียงซี
จินถ่าอี้ เป็นอีกหนึ่งย่าน ที่แนะนำว่าคุ้มค่ากับการไปเดินเที่ยว
แม้ว่าจะไม่สามารถขึ้นไปบนหอสูงที่ชื่อว่า หอเสินจิน ได้ แต่เราก็สามารถอิ่มใจกับการไหว้พระพันองค์ และเพลิดเพลินกับการเดินเที่ยวพื้นที่สวนโดยรอบได้
ถนนคนเดินด้านข้างก็น่าสนใจ แต่จากประสบการณ์การเดินทางของพวกเรา ทำให้ทราบว่า ถ้าจะไปเดินช็อปปิ้ง หรือว่าไปหาของกินอร่อยๆ บนถนนเส้นนั้น ควรไปตอนกลางคืน ถึงจะมีสีสันและมีชีวิตชีวามากกว่ากลางวัน
ถ้าท่านใดอยากลองไปเที่ยวปลายทางใหม่ๆ ของจีน ที่เดินทางไปง่าย ราคาประหยัด และผู้คนไม่พลุกพล่าน ไม่ต้องเผชิญกับสภาพการจราจรที่หนาแน่น ก็ลองไปเที่ยวที่หนานชางดู ไปสัก 2-3 วัน ก็เที่ยวได้คุ้มแล้ว
ทะเลสาบผอหยาง ทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดของประเทศจีน ครอบคลุมพื้นที่กว่า 1.06 แสนตารางกิโลเมตร นอกเหนือจากการเป็นแหล่งน้ำที่สำคัญของมณฑลเจียงซีแล้ว ที่นี่ยังถูกขนานนามว่าเป็นสรวงสวรรค์ของนกอพยพอีกด้วย เพราะว่าในช่วงฤดูหนาว จะมีฝูงนกกระเรียนจากไซบีเรียบินมาหากินที่ทะเลสาบแห่งนี้ แล้วก็จะเป็นช่วงที่สวยที่สุด มีนักท่องเที่ยวมาที่นี่จำนวนมาก
การเดินทางไปอุทยานแห่งชาติหลูซาน แนะนำให้มาเที่ยวในช่วงต้นฤดูหนาวเพราะจะเป็นช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีพอดี เป็นช่วงที่อุทยานมีความสวยงามที่สุดอีกเช่นกัน
อุทยานแห่งชาติหลูซาน ตั้งอยู่ในเมืองจิ่วเจียง ออกจากตัวเมืองหนานชางไปทางเหนือประมาณ 128 กิโลเมตร ถ้าไม่มีข้อจำกัดเรื่องค่าใช้จ่าย ก็จ้างรถจากหนานชางไปเลยก็ได้ แต่ค่าโดยสารก็ไม่น่าจะต่ำกว่า 400 หยวน ถ้าจะประหยัดหน่อย ก็นั่งรถไฟหรือรถบัสจากหนานชางไปลงที่จิ่วเจียง ซึ่งค่าโดยสารคนละ 20-50 หยวน เท่านั้น ใช้เวลาเดินทางไม่เกินชั่วโมงครึ่ง จากนั้นก็ต่อรถบัสเข้าไปในอุทยาน
เส้นทางที่คดเคี้ยวไปตามแนวไหล่เขา ทำให้ต้องใช้เวลาร่วม 1 ชั่วโมง กว่าจะไปถึงที่หมู่บ้านกู๋หลิ่ง ซึ่งเป็นใจกลางเขตอุทยาน และเป็นที่ตั้งของที่พักส่วนใหญ่ เสน่ห์ของหลูซาน อยู่ที่การเป็นเมืองในม่านหมอก มีความร่มรื่น และอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี ซึ่งนั่นทำให้หลูซานเป็นอุทยานแห่งชาติที่สามารถเที่ยวได้ทั้งปีจริงๆ ไม่ว่าจะมาฤดูไหนก็จะได้เห็นภาพที่สวยงามแตกต่างกันไป แต่ก็จะไม่เงียบเหงา เพราะไม่เคยมีช่วงไหนเลยที่หลูซานจะไร้นักท่องเที่ยว
ที่พักในเขตอุทยานหลูซานนั้นก็มีมากมายหลายที่ ส่วนราคาก็มีตั้งแต่คืนละ 100 หยวน ไปจนถึง 1 หมื่นหยวน เลยทีเดียว ถ้าเป็นช่วงตั้งแต่เดือน พ.ย.ไปจนถึงเดือน ก.พ. ราคาอาจพุ่งสูงขึ้นกว่านี้ และส่วนใหญ่ก็จะเต็มทุกที่ เพราะมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินทางมาที่นี่
ภายในเขตอุทยานแห่งชาติหลูซานนั้นกว้างใหญ่มาก ถ้าใครวางแผนที่จะมาเที่ยวให้ครบทุกที่ ภายในเวลาจำกัด คงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากมาก เพราะที่นี่มีสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ ทั้งหมดอยู่ 12 แห่งด้วยกัน แต่ละแห่งตั้งอยู่ห่างกันพอสมควร และรถโดยสารมักจะไปส่งได้แค่ปากทางเข้าสถานที่เหล่านั้น ส่วน
ที่เหลือนักท่องเที่ยวต้องเดินต่อไปเอง
น้ำตกสามชั้น หรือซานเตี๋ยฉวน เป็นสถานที่ที่เรารู้สึกว่าสวยงามและก็คุ้มค่าที่สุดในการเดินเท้ากว่าหนึ่งชั่วโมง เพื่อไปให้ถึง แต่แน่นอนว่าเส้นทางนี้ก็ไม่ได้เหมาะกับทุกคน ดังนั้นใครอยากไปให้ถึงจุดหมายนั้นก็ต้องเตรียมทั้งแรงกาย แรงใจ และเผื่อเวลาไว้สักหน่อย เพราะลำพังการเดินไปและเดินกลับ ก็ใช้เวลาเกือบครึ่งวัน ยิ่งถ้าใครไปถึงแล้ว บังเอิญไปต้องมนต์สะกดของน้ำตก แล้วอยากใช้เวลาที่นั่นนานๆ ก็เท่ากับว่า วันนั้นทั้งวันไปเที่ยวน้ำตกได้ที่เดียว
อีกอย่างหนึ่งที่เราไม่อยากให้พลาดก็คือบรรยากาศค่ำๆ ของตัวเมืองกู๋หลิ่ง เพราะว่ามีความสวยงาม และมีชีวิตชีวาแบบไม่วุ่นวายอีกด้วย
กิจกรรมที่อาจจะไม่ได้สนุกที่สุดสำหรับบางคน แต่เราเชื่อว่าน่าจะมีความโรแมนติก สำหรับคู่รักหลายๆ คู่ที่อยากทำด้วยกัน นั่นก็คือ การจูงมือกันไปนั่งดูหนังรักโรแมนติก ในโรงภาพยนตร์ที่พิเศษที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
นี่คือโรงภาพยนตร์แห่งเดียวของเขตอุทยานแห่งชาติหลูซาน Romance in Lushan Cinema เป็นโรงภาพยนตร์ ที่เปิดบริการทุกวัน ฉายหนังวันละ 3 รอบ ฉายมา 30 กว่าปีแล้ว แต่ที่เจ๋งกว่านั้น คือฉายอยู่เรื่องเดียว ชื่อเรื่องแปลเป็นภาษาไทยว่า “ความรักแห่งหลูซาน” โรแมนติกมาก
อำเภออู้หยวน เป็นเมืองชนบทที่สวยงาม และมีชื่อเสียงที่สุดของจีน
ระยะทางจากหนานชางมาถึงอู้หยวนก็ประมาณ 300 กิโลเมตร ถ้าจะจ้างรถแท็กซี่ไป ก็ต้องเผื่อใจไว้สำหรับค่าโดยสารที่อาจจะสูงเกือบ 1,000 หยวน
แต่ถ้านั่งรถไฟ ก็ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง พร้อมกับค่าโดยสาร 150-250 หยวน
ส่วนรถบัสก็จะประหยัดเงินที่สุด คือเสียค่าโดยสาร 60-70 หยวน แต่จะต้องใช้เวลาเดินทางนานถึง 5 ชั่วโมงครึ่งเลยทีเดียว
ที่สะพานสายรุ้งก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่เหมือนจะธรรมดาๆ แต่พอได้ไปที่นั่นแล้ว ก็เป็นอันต้องเพลิดเพลินกับบรรยากาศ และวิถีชีวิตของผู้คน
ถ้าใครมีเวลาจำกัดในการมาเที่ยวอู้หยวน เราขอแนะนำให้ตรงมาที่หมู่บ้านหลี่เคิน เพราะถ้าได้มาที่นี่แล้ว จะรู้สึกว่าไม่ผิดหวังกับการเดินทางมาไกลแสนไกลเลย
แม้ว่าในอำเภออู้หยวน จะมีหมู่บ้านโบราณแบบนี้กว่า 50 หมู่บ้าน แต่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็ลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกัน ว่าไม่มีที่ไหนที่จะสวยงาม และเดินเล่นได้เพลินเท่ากับที่หมู่บ้านหลี่เคินแห่งนี้เลย
หมู่บ้านเล็กๆ ในอ้อมกอดของขุนเขา มีลำธารเล็กๆ ไหลผ่าน แนวบ้านเรือนเก่าแก่ ที่สร้างมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิง ความเก่าแก่ของที่นี่ ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกถึงการเดินไปชมโบราณสถาน แต่กลับทำให้เรารู้สึกเหมือนได้ย้อนยุคไปในหนังจีนโบราณ ซึ่งก็อาจจะเป็นเพราะความมีชีวิตชีวาที่เรียบง่ายของที่นี่ก็เป็นได้
และแสงจากโคมสีแดงที่ห้อยเรียงกันเป็นพวง ก็ให้ความรู้สึกเหมือนเราอยู่ในบรรยากาศของการเฉลิมฉลองตลอดเวลา
ก่อนจะเดินทางกลับ เราก็ยังรู้สึกเสียดายอยู่เลย ที่ยังไม่ได้ถ่ายรูปให้ครบทุกซอกทุกมุม เพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ดูมีเสน่ห์ไปหมด
ดังนั้น หากสนใจเที่ยวประเทศจีนแบบสัมผัสธรรมชาติผสมผสานกับวัฒนธรรมย้อนยุค ต้องไม่พลาดมณฑลเจียงซี คุ้มค่ากับการเดินทางอย่างแน่นอน
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดนี้ได้ในรายการ โลก 360 องศา เช้าวันอาทิตย์นี้ หลังเคารพธงชาติ