posttoday

ชวนกันไปว้าว ที่เมืองเว้ (HUE)

21 กรกฎาคม 2561

เว้ (Hue) คือเมืองที่ได้รับฉายาว่า “นครจักพรรดิ” และเป็นดินแดนประวัติศาสตร์แห่งเวียดนามกลาง หากใครได้ไปเห็นแล้ว

เว้ (Hue) คือเมืองที่ได้รับฉายาว่า “นครจักพรรดิ” และเป็นดินแดนประวัติศาสตร์แห่งเวียดนามกลาง หากใครได้ไปเห็นแล้ว คงต้องทึ่งกับอดีตที่ยิ่งใหญ่ของจักรพรรดิเวียดนาม บางคนอาจไม่เคยทราบเลยด้วยซ้ำไปว่า ประเทศนี้เคยมีจักรพรรดิปกครอง ซึ่งการที่ได้รับอิทธิพลจากจีนหลายศตวรรษ ทำให้ราชสำนักเวียดนามรับเอาแบบอย่างทางศิลปวัฒนธรรมมาจากจีน ดังจะเห็นได้จากราชวังของจักรพรรดิเวียดนาม ที่คล้ายกับราชวังฮ่องเต้ของเมืองจีน แถมเครื่องทรงของจักรพรรดิก็คล้ายกับเครื่องทรงของฮ่องเต้จีน จนแยกไม่ออก โดยสถานที่ที่สามารถเห็นภาพเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน ก็คือที่ราชวังต้องห้าม และสุสานขนาดใหญ่ ของเหล่าจักรพรรดิผู้ล่วงลับของราชวงศ์เวียดนาม

ระบบจักรพรรดิถูกโค่นล้มไป จากการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองภายในประเทศ ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ของเวียดนามไม่ได้ซาบซึ้งกับเรื่องราวของจักรพรรดิสักเท่าไรนัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า สุสานและราชวังที่ยังคงเหลืออยู่ คือแรงดึงดูดสำคัญที่ทำให้คนอยากเดินทางมาท่องเที่ยวที่เมืองเว้

ภาพของเมืองเว้ ที่ถูกสื่อออกไปผ่านสื่อหลายแขนง และผ่านประสบการณ์ตรงของนักท่องเที่ยว ทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า เมืองเว้เป็นเพียงเมืองเก่า ที่เหมาะกับการแวะมาถ่ายรูปเล่นกับสถานที่เก่าแก่ และมาฟังเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ แล้วก็จากไป แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่า เว้เป็นอีกเมืองหนึ่งที่มีธรรมชาติและมีทิวทัศน์ทางธรรมชาติที่สวยงามที่สุดของเวียดนามกลาง

ชวนกันไปว้าว ที่เมืองเว้ (HUE)

สถานที่แรกที่นักท่องเที่ยวจะสามารถรื่นรมย์กับธรรมชาติของเมืองเว้ได้ง่ายที่สุด ก็คือการล่องเรือชมธรรมชาติสองฟากฝั่งของแม่น้ำหอม หรือ “ซงเฮือง” (Son Huong) แม่น้ำสายหลักที่หล่อเลี้ยงชีวิตของผู้คนทั้งในเมืองและนอกเมือง

นักท่องเที่ยวสามารถเลือกล่องเรือได้ทั้งกลางวันและกลางคืน หากเป็นกลางคืน ก็จะไม่เห็นวิวทิวทัศน์มากนัก แต่นักท่องเที่ยวไม่น้อยก็นิยม เพราะอากาศจะเย็นสบายกว่า แถมเรือที่ล่องกลางคืนจะมีดนตรีขับกล่อม และมีการแสดงบนเรือให้ได้รื่นรมย์ เสมือนหนึ่งว่านักท่องเที่ยวเป็นจักรพรรดิโบราณกันเลยทีเดียว

ส่วนการล่องเรือเวลากลางวัน แม้อากาศจะร้อนอยู่สักหน่อย แต่ก็จะเห็นบรรยากาศสองฟากฝั่งแม่น้ำที่ชัดเจนกว่า ได้เห็นวิถีความเป็นอยู่ของผู้คนที่ยังอาศัยและพึ่งพิงสายน้ำ แถมยังได้มีโอกาสพิสูจน์ด้วยว่า ที่เขาเรียกว่า แม่น้ำหอมนั้น จะหอมจริงดังชื่อหรือไม่ เพราะว่ากันว่า ชื่อของแม่น้ำหอม ถูกตั้งขึ้นตามกลิ่นของแม่น้ำ ที่เคยหอมคละคลุ้งจากดอกไม้ ที่ลอยมาตามแม่น้ำ

เรือจ้างที่คอยบริการนักท่องเที่ยวนั้น สามารถสังเกตได้ง่ายมาก คือจะเป็นเรือหัวมังกร ที่มีลวดลายและสีสันสดใส ถูกสร้างเลียนแบบเรือโบราณของจักรพรรดิ แต่ก็ปรับประยุกต์ให้ทันสมัยมากขึ้น อย่างเช่น ติดเครื่องยนต์เข้าไป หรือการใช้โลหะฉลุลายมาทำเป็นหัวเรือแทนวัสดุเดิมๆ โดยเรือที่บริการนักท่องเที่ยวก็มีทั้งแบบซื้อตั๋วที่นั่ง และแบบเหมาลำ ส่วนโปรแกรมหลักๆ ของการล่องเรือชมแม่น้ำหอม ก็จะใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถขึ้นเรือได้ที่ท่าน้ำในเมือง จากนั้นก็จะล่องไปตามแม่น้ำ พานักท่องเที่ยวไปแวะ 2 สถานที่หลัก คือ ที่ราชวังต้องห้าม และที่วัดเทียนมู่ (Thien Mu pagoda) วัดศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของชาวเมืองเว้

ชวนกันไปว้าว ที่เมืองเว้ (HUE)

วัดเทียนมู่ ห่างจากราชวังต้องห้ามที่อยู่ใจกลางเมืองออกไปประมาณ 4 กิโลเมตร เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1601 ตามบรรชาของจักรพรรดิ นูเย็น ฮง (Nguyen Hoang) ซึ่ง แปลว่า “เจดีย์แห่งเทพธิดาสวรรค์”

ในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 เป็นยุคที่มีการเลือกปฏิบัติ และมีการกดขี่ทางศาสนาในเวียดนาม ชาวพุทธได้มีการรวมตัวกันประท้วงรัฐบาลที่เมืองเว้ เกิดความขัดแย้งรุนแรง แต่ท้ายที่สุดก็ลงเอยด้วยการที่ศาสนาพุทธกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง ซึ่งวัดเทียนมู่เแห่งนี้ ก็คือศูนย์กลางการขับเคลื่อนของชาวพุทธในสมัยนั้น

เจดีย์แปดเหลี่ยม 7 ชั้น ที่มีชื่อว่า “เฝือกเหยียน” (Phuoc Duyen) เป็นทั้งสัญลักษณ์ของวัดเทียนมู่ และสัญลักษณ์ของเมืองเว้ เพราะเรามักจะเห็นภาพของเจดีย์เฝือกเหยียนปรากฏอยู่ในภาพเขียนหรือของฝากจากเมืองเว้

ใกล้กับองค์เจดีย์จะมีหินสลักขนาดใหญ่ ที่ทำเป็นรูปเต่า ซึ่งคนเวียดนามเชื่อว่า เต่าเป็นสัญลักษณ์ของความอายุยืน ดังนั้น นักท่องเที่ยวที่มาที่นี่ ก็มักจะไปขอพรให้สุขภาพแข็งแรง และอายุยืนยาว นอกจากนั้นยังมีรูปหล่อพระสังกัจจายน์ ที่เชื่อว่าจะมอบความสมบูรณ์พูนสุข และความมั่งคั่งให้กับผู้ที่ไปสักการะ

ชวนกันไปว้าว ที่เมืองเว้ (HUE)

เสร็จจากวัดเทียนมู่ เรือก็จะพานักท่องเที่ยวมาส่งที่ราชวังต้องห้าม สถานที่ซึ่งเป็นไฮไลต์ของเมืองเว้ ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถขึ้นเรือจากตรงจุด และใช้เวลาชื่นชมราชวังได้เต็มที่

แม้ว่าเมืองเว้ จะเป็นเมืองเงียบๆ ที่มีบรรยากาศสบายๆ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นเมืองที่ขาดสีสัน หรือเป็นเมืองเก่าที่ไร้ชีวิตชีวา เพราะแทบทุกเดือนจะมีประเพณีและเทศกาลต่างๆ มาช่วยเติมสีสันให้กับการท่องเที่ยวเมืองเว้ แถมยังมีบรรยากาศสนุกสนานตามชายหาดไว้เป็นอีกทางเลือก เพราะในช่วงหน้าร้อน (ตั้งแต่เดือน พ.ค.-ส.ค.) อุณหภูมิแถวเวียดนามกลาง อาจสูงถึง 40 องศาเซลเซียส ผู้คนจึงนิยมไปพักผ่อนที่ชายทะเล ซึ่งหาดที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมืองเว้ ก็คือหาด “ถ่วนอัน” (Thuan An) เป็นหาดสาธารณะ ที่อยู่ไม่ไกลจากตัวเมือง (ห่างจากตัวเมืองประมาณ 10 กว่ากิโลเมตร) ทำให้หาดทรายแห่งนี้คลาคล่ำไปด้วยผู้คนจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหน้าร้อน ที่เป็นช่วงที่คนท้องถิ่นมาเก็บเกี่ยวความสุขและความสนุกสนานไว้ให้ได้มากที่สุด เพราะหากล่วงเข้าเดือน ก.ย. ก็จะเริ่มเข้าสู่ฤดูมรสุม ฟ้าก็จะครึ้ม ฝนก็จะตก แถมมีพายุอีกต่างหาก ดังนั้น จึงจะเห็นว่าเวลาคนเวียดนามไปเที่ยวทะเล เขาจะปล่อยพลังกันอย่างเต็มพิกัดเลยทีเดียว

นักท่องเที่ยวที่สนใจจะไปเที่ยวหาดถ่วนอัน ก็สามารถเดินทางไปง่ายๆ ได้ด้วยตนเอง โดยอาจจะนั่งรถบัสประจำทางหรือแท็กซี่ไปก็ได้ ใช้เวลาแค่ประมาณ 20-30 นาทีจากตัวเมืองก็ถึงหาดแล้ว แต่ถ้าใครสามารถขับมอเตอร์ไซค์เลนขวาได้ ก็เช่ามอเตอร์ไซค์ขับไปเองจะสะดวกและประหยัดที่สุด และขอแนะนำว่า ถ้าไปถึงหาดถ่วนอันแล้ว ต้องไม่พลาดที่จะไปรับประทานอาหารทะเลที่นั่น เพราะย่านนั้นอยู่ใกล้กับหมู่บ้านชาวประมง และฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำหลายแห่ง อาหารทะเลแถวนั้นจึงสด ใหม่ และราคาไม่แพง

นอกจากแม่น้ำหอม และหาดถ่วนอัน ยังสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติที่อยากแนะนำอีกแห่งหนึ่ง ชื่อว่าบึง “ทามซาง” (Tan Giang) เป็นบึงน้ำขนาดใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่กว่า 52 ตารางกิโลเมตร มีจุดเชื่อมต่อกับทะเล ผ่านแม่น้ำเป็นทางยาว เข้ามาในแผ่นดินถึง 24 กิโลเมตร ทำให้พื้นที่โดยรอบสามารถทำประมง เลี้ยงสัตว์ และเพาะปลูกได้

ชวนกันไปว้าว ที่เมืองเว้ (HUE)

นักท่องเที่ยวที่อยากเที่ยวบึงนี้ สามารถซื้อทัวร์ได้จากในเมือง โดยส่วนใหญ่จะเป็นโปรแกรมเต็มวัน เพราะนอกเหนือจากการเที่ยวชมวิวทิวทัศน์แล้ว นักท่องเที่ยวยังจะมีโอกาสได้เห็นวิถีชีวิตของชาวประมง ได้ไปชมงานจักสาน ได้ไปไหว้พระ แถมยังมีโปรแกรมปั่นจักรยานเที่ยวชมชนบทอีกด้วย ดังนั้น ใครคิดว่าจะไปเที่ยวบึงทามซาง คงต้องเผื่อเวลาไว้หนึ่งวันเต็มๆ เลยทีเดียว

หลังจากที่ได้ออกนอกเมือง ได้ไปเห็นภาพสวยงามแปลกตาได้ไปสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ แล้ว ก็ต้องไม่พลาดที่จะกลับมาหาอาหารเย็นอร่อยๆ รับประทานในเมือง โดยสถานที่แนะนำว่าไม่ควรพลาด ก็คือ Night Market ริมแม่น้ำหอม เพราะตลาดแห่งนี้เป็นตลาดนัดราคาประหยัดที่เปิดทุกวันตั้งแต่ห้าโมงเย็น ไปจนถึงห้าทุ่ม ส่วนข้าวของที่วางขายก็มีตั้งแต่อาหารการกิน ​เสื้อผ้าเครื่องประดับ และของฝากสำหรับนักท่องเที่ยว ดูไปแล้วก็จะมีความคล้ายตลาดนัดสะพานพุทธในบ้านเรา เพราะนอกจากข้าวของที่วางขายแล้ว ที่นี่ยังดูคล้ายสตรีทอาร์ตเล็กๆ ให้ศิลปินได้มีโอกาสมาแสดงผลงานและสร้างรายได้ไปพร้อมๆ กัน

และแน่นอนว่า สถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติของเมืองเว้ไม่ได้มีแค่แม่น้ำ ชายหาด และบึงน้ำเท่านั้น ซึ่งคนที่สนใจท่องเที่ยวเมืองนี้ให้ครบทุกมิติจริงๆ คงต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 5 วันเลยทีเดียว แต่ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากสำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปกับบริษัททัวร์ ดังนั้น คนที่จะมีโอกาสได้เห็นแง่มุมอื่นๆ ของเมืองเว้ คงต้องเป็นคนที่เดินทางท่องเที่ยวเองเท่านั้น แต่ถ้าใครยังไม่สะดวกเดินทางไปท่องเที่ยวด้วยตนเอง ก็ติดตามชมรายการโลก 360 องศา เช้าวันอาทิตย์นี้ หลังเคารพธงชาติ ทางช่องไทยรัฐทีวี