posttoday

ไซตามะเมืองเก่า + ใหม่ ภูเขา สายน้ำ และธรรมชาติ

06 มกราคม 2561

เมื่อเลือกที่จะใช้พักร้อนเพื่อไปพักผ่อนอย่างแท้จริง ฉันและเพื่อนตกลงกันว่าจะไป “ไซตามะ”

โดย/ภาพ : บงกชรัตน์ สร้อยทอง 

 เมื่อเลือกที่จะใช้พักร้อนเพื่อไปพักผ่อนอย่างแท้จริง ฉันและเพื่อนตกลงกันว่าจะไป “ไซตามะ” ที่ญี่ปุ่นเหมือนเหมือน 2 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นที่ข้องใจของหลายคนว่า ไปภูมิภาคคันโตแล้วทำไมไม่ไปโตเกียว ทั้งๆ ที่มีแผนเข้าเมืองมหานครแห่งนี้วันหนึ่ง แต่สุดท้ายเช้าวันหนึ่งที่จะไปทุกคนก็ตัดออกไปราวกับไม่ไย และก็มานั่งทบทวนดูว่าทำไมเราถึงหลงรักไซตามะได้ขนาดนี้

โอมิยะศูนย์กลางความสะดวก

 โอมิยะ คือเมืองหลวงจังหวัดไซตามะ ที่ห่างจากโตเกียวไม่มาก นั่งรถไฟไปก็เพียง 20-25 นาที แถมมีรถบัสจากสนามบินนาริตะและฮาเนดะมาที่โอมิยะได้เลย

 เพราะพวกเราเลือกหนีความวุ่นวายจากความเป็นเมืองและคนพลุกพล่านให้มากที่สุด จึงตัดสินใจเลือกสถานที่ที่เคยมาพัก คุ้นเคยกับถนน สิ่งที่อยู่รอบตัว และอุ่นใจที่ได้มาพักเกสต์เฮาส์ทัชไทยของคนไทยที่นี่ โดยไม่ต้องให้เขามาดูแล กุญแจดอกเดียวทำให้เรามีอิสรภาพอย่างเต็มที่ ในกรณีที่ไม่เจอแขกคนอื่นพัก

 ทริปนี้ตั้งใจกันว่า การเดินทางจะนั่งรถไฟไปไหนกันก็ได้ ไม่จำกัดเวลา หรือจะเปลี่ยนแผนเมื่อไรกันก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นไซตามะด้วยกันหรือต่างเมือง เพราะการเดินทางสะดวกสบาย

 เรื่องการกินอยู่บริเวณรอบของสถานีรถไฟโอมิยะ ตั้งแต่ร้านกาแฟที่อยู่ประปราย ร้านผลไม้สด ขนมปัง กลางวันก็มีร้านซูชิและราเมนให้แฝงตัวไปกับกลุ่มดูหนุ่มสาวออฟฟิศที่เข้ามากินข้าวมื้อเร่งด่วนก่อนกลับไปทำงานกันต่อ

ไซตามะเมืองเก่า + ใหม่ ภูเขา สายน้ำ และธรรมชาติ 01 ลำธารที่ไหลจากต้นน้ำด้านบนเขาที่ฮันโน่

 มื้อเย็นก็มีความหลากหลายของอาหารมากขึ้น ทั้งปิ้งย่าง ที่เพิ่มมาคือการประชันเบียร์เสริมความเฮฮาปาร์ตี้ แถมแต่ละร้านก็มีให้เลือกเห็นหลายระดับราคา

 เพื่อให้สมกับความเป็นคนไทย คือไม่ว่าเราจะเดินทางไปไหน กลับมาช่วงเย็นหรือค่ำ พอลงสถานีรถไฟนี้ กลิ่นหอมของขนมมักโชยเตะจมูก ชนิดที่ว่าพวกเราต้องเสียสตางค์กับร้านขนม 3 แห่งที่อยู่ติดกันมาแล้ว

 ส่วนขาช็อปมิต้องห่วง มีห้างล้อมรอบตัวเราไว้หมด แถมยังมีขายทั้งเสื้อผ้าและรองเท้าให้ผลัดหลงกันไปได้ของกันออกมาง่ายๆ ก็ไม่น้อย

 สิ่งที่ไม่อยากให้พลาด คือศาลเจ้าฮิกาวะ ที่เป็นศาสนสถานที่ประกอบพิธีในศาสนาชินโต ด้วยอากาศและอุณหภูมิในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีนี้ ทำให้เราขอเดินทอดน่องแลกกับแสงแดดไออุ่นยามเช้า เพื่อไปขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะมีแผ่นป้ายที่ให้เขียนอวยพรเรื่องครอบครัวกันเป็นส่วนมาก และเห็นคนญี่ปุ่นหลายคนเดินทางมาขอพรก่อนจะเริ่มเรียนหรือเริ่มทำงานในวันใหม่

 ความลับที่ซ่อนอยู่ที่แห่งนี้คือ ครั้งหน้าถ้ามีโอกาสมาในช่วงหน้าดอกซากุระบาน เราอาจจะเลือกมาที่นี่แทนไปสวนอุเอโนะที่โตเกียวแทน เพราะเขาว่าสวนสาธารณะโอมิยะนี้ มีต้นซากุระบานที่สวยไม่แพ้ที่อื่นเลย และอาจจะพ่วงเก็บตกพิพิธภัณฑ์รถไฟ ซึ่งจัดแสดงรถไฟทุกแบบที่ใช้ในญี่ปุ่นตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน

คาวาโกเอะเมืองเก่าที่มันหวาน

 เมื่อ 2 ปีเคยไปคาวาโกเอะที่ขึ้นชื่อว่าเป็น “ลิตเติ้ลเอโดะ” มีบ้านเรือนเป็นแบบสมัยเก่าก็จริง แต่เพราะไปเจองานเทศกาลคาวาโกเอะพอดี ที่คนหนาแน่นตั้งแต่ออกจากสถานีรถไฟ และต้องเดินไหลตามคลื่นมหาชนไปเรื่อยๆ ซึ่งมาทราบว่า ปกติทุกเสาร์-อาทิตย์สัปดาห์ที่ 3 ของเดือน ต.ค.จะมีเทศกาลนี้

 เหมือนเป็นการรวมคนทุกเพศทุกวัยในชุมชน ต่างปิดบ้านปิดร้านค้าปกติมาขายของตามท้องถนน หรือมาร่วมงานและร่วมแสดง ภายในแต่ละขบวนรถเลื่อนที่ถูกประดับตกแต่งแต่ละขบวนออกมาอย่างสวยงาม โดยจะเคลื่อนตัวไปรอบเมืองอย่างช้าๆ

แต่การมาครั้งที่ 2 นี้ ตั้งใจแล้วว่าจะมาเดินชมบ้านเรือนแบบเก่าและไลฟ์สไตล์แบบใหม่ของเมืองนี้กัน และความโชคดีก็เกิดขึ้นซ้ำสอง ที่ไม่รู้ว่ามาช่วงวันหยุดที่เป็นวันวัฒนธรรมแห่งชาติของญี่ปุ่น ทำให้เราได้เห็นเด็กน้อยและผู้หญิงเดินใส่ชุดกิโมโนเดินอยู่รอบเมือง

 ยอมรับว่าเสน่ห์อย่างหนึ่งของที่นี่ คือการคงความเก่าในชุมชน ที่หลายร้านแม้จะมีการขายของที่ทันสมัย แต่สไตล์การตกแต่งร้านช่างผสมความเก่าและใหม่ ทำให้รู้สึกเชิญชวนให้เข้าไปนั่งดื่ม และเสพบรรยากาศทั้งกลางวันและกลางคืนที่แตกต่างกัน จนจมูกพวกเราไม่สามารถทนกลิ่นหอมของกาแฟที่ลอยมาเชื้อเชิญให้ไปชิมตลอดเวลา

ไซตามะเมืองเก่า + ใหม่ ภูเขา สายน้ำ และธรรมชาติ 02 เจ้าแม่กวนอิมโทริคันนนที่นักท่องเที่ยวมากราบไหว้

 และสิ่งสุดท้ายที่ไม่อาจลืมเลือนได้ ต้องใช้ลิ้นสัมผัสกับกับรสชาติ “มันหวาน” ของเมืองนี้ให้ได้ และก็ไม่ผิดหวังสมชื่อที่หลายคนยกให้เป็นเมืองแห่ง “มัน” แห่งหนึ่ง ทั้งขนมมันที่ผลิตออกมาหลายรูปแบบกรอบแบบนุ่ม ที่บรรจุหีบห่อไว้สวยงาม เตรียมไปเป็นของฝากก็ไม่น้อย

 ส่วนไอศกรีมรสมันนั้น ไม่ต้องบรรยายอะไรกันมาก มาแล้วก็ต้องลองทั้งแบบมันม่วงและมันหวานสีเหลือง ที่มีเนื้อของมันผสมออกมาให้เคี้ยวหนึบอร่อย

 สำหรับเส้นทางการมาคาวะโกเอะ นั่งรถไฟต่อจาสถานีโอมิยะเพียง 5 สถานีเท่านั้น หรือประมาณ 20-25 นาที

ฮันโน่ ธรรมชาติที่หลงรัก

 เจ้าของเกสต์เฮาส์ทัชไทยที่เราพักในโอมิยะ แนะนำและอาสาพาเราไปรู้จักฮันโน่ มันเป็นอีกเมืองในไซตามะ ห่างจากโตเกียว 70 กม. และห่างจากโอมิยะ 40-50 กม.

 เป็นเมืองที่ธรรมชาติป่าเขาเหมาะแก่การไปแคมปิ้ง เทรกกิ้ง ปั่นจักรยาน และเป็นเส้นทางที่ชวนนักขับขี่รถมอเตอร์ขนาดใหญ่ไต่เขา ที่สำคัญ คือเมืองนี้ยังเป็นที่ชื่นชอบกับผู้สูงอายุซึ่งจะไปแช่ออนเซน

 ภาพที่เห็นและสัมผัสระหว่างทางคือ เราค่อยๆ พบเจอกับธรรมชาติทีละนิดๆ ตั้งแต่พื้นป่าที่มีใบไม้เปลี่ยนสีแดงค่อยๆ ออกมาแจมระหว่างทาง เริ่มเห็นลำธารน้อยใหญ่สลับกันไป ซึ่งต่อมาก็ได้สัมผัสกับต้นน้ำของแม่น้ำอิรุมะ ที่อยู่ด้านบนของพื้นป่าหมู่บ้านนากุริ

 เมืองฮันโน่นี้ มีการเจาะเป็นท่อน้ำให้ผู้มาเยือนได้ลองชิมดื่ม หรือนำไปต้มเพื่อดริปกาแฟดื่มกัน โดยหลายครั้งผู้ที่ชื่นชอบกาแฟจะนำน้ำไปต้มในระดับที่เหมาะสม เพื่อให้ได้สูตรการชงกาแฟที่ลงตัว แต่กว่าจะถึงจุดนี้ทำให้เราได้สัมผัสกับทิวป่าสนสูงที่ทำให้รู้สึกถึงอากาศแสนบริสุทธิ์ และเห็นเขื่อนกักน้ำขนาดย่อมที่มีกิจกรรมให้ตกปลาเทราต์ หรือพายเรือแคนูล่องเรือในเขื่อนแห่งนี้ได้

ไซตามะเมืองเก่า + ใหม่ ภูเขา สายน้ำ และธรรมชาติ 03 บริเวณเมืองเก่าลิตเติ้ลเอโดะที่คาวาโกเอะ

 ผืนเขาแห่งนี้ ถือว่ามีสถานที่ให้เรานักท่องเที่ยวได้แวะจอด เพื่อลงไปสัมผัสลำธารที่ไหลผ่านตลอดแนวทางหมู่บ้าน หรือแวะถ่ายวิวที่เห็นหมู่บ้านเป็นจุดๆ โดยมีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มาแล้วไม่ควรปล่อยผ่าน คือองค์เจ้าแม่กวนอิมแห่งโทริคันนนขนาดใหญ่ ที่บริเวณโดยรอบสามารถยืนชมวิวด้านบนสัมผัสเมืองฮันโน่แบบ 360 องศา แถมถ้าจังหวะดีก็จะมีต้นโมมิจิหรือเมเปิ้ลเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มแดงให้เห็นและเป็นภาพประกอบฉากให้มุมกล้องเรา และถือว่าโชคดีมาก เพราะคราวนี้เผอิญเจอดอกซากุระป่าที่บานสะพรั่งในช่วงปลายปีเช่นนี้

 สิ่งที่สัมผัสได้ นอกจากธรรมชาติอันสดชื่นขนาดนี้ คือตลอดเส้นทางเราก็ได้เจอกับรถบิ๊กไบค์ หรือคู่รักคนสูงอายุจูงมือพากันเดินไปออนเซน หรือเดินเท้าไปยังไหว้สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ พร้อมชื่นชมธรรมชาติและถ่ายรูปให้กันและกันราวกับคู่เดทที่เพิ่งนัดกันใหม่ สร้างความอบอุ่นท่ามกลางอากาศหนาวให้เราได้ไม่น้อย

 ร้านอาหารที่นี่มีบริการจริงๆ เพียง 3 ร้าน และร้านที่กลุ่มเราได้แวะไปเป็นร้านอาหารสีเหลืองขนาดเล็กชื่อ Turnip ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาน้อยๆ แต่เพราะช่วงเวลาที่เรากินประมาณเที่ยงแล้วแสงแดดจ้าไปนิด จนต้องถอนทัพกลับไปนั่งรับแดดอ่อนภายในร้านแทน

 ที่น่าทึ่ง คือเจ้าของร้านเป็นคุณลุงคุณป้าทำกับข้าวรับออร์เดอร์ และเสิร์ฟอาหารกันเพียง 2 คน แม้ว่าอาหารอาจรอนานไปนิด แต่เราก็ยังฟินกับบรรยากาศที่อบอุ่นด้วยขนาดและบรรยากาศร้าน

 ด้านรสชาติออาหารแน่นอนว่าอร่อยมาก แค่เพียงออร์เดิร์ฟผักสดออร์แกนิกจากบนเขา ที่กรอบผสมกับน้ำสลัดสไตล์ญี่ปุ่น (เชื่อว่าคุณป้าต้องทำเองแน่นอน) ก็อร่อยจนบอกไม่ถูกแล้ว ส่วนอาหารจานหลักที่ลองสั่งกันคนละอย่างเพื่อแลกกันชิม บอกได้เพียงว่าหาต้นตอของวัตถุดิบหลักของจานไม่เจอกันทีเดียว

 การเดินทางมาฮันโน่ อาจเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคยกับนักท่องเที่ยวคนไทยขาจรอย่างเรา เจ้าของเกสต์เฮาส์แนะนำคร่าวๆ ว่า ถ้าเดินทางมาเอง ให้นั่งรถไฟไปลงที่สถานีหลักอย่างฮันโน่เลย แล้วต่อรถบัสมาที่นี่นั่งมาประมาณ 2 ชั่วโมง หรือลองสอบถามกับทางเกสต์เฮาส์ทัชไทยก็ได้ เพราะมีที่พักที่นี้ด้วย (www.facebook.com/TouchThaiGuesthouse)

ไซตามะเมืองเก่า + ใหม่ ภูเขา สายน้ำ และธรรมชาติ 04 ศาลเจ้าใหญ่ฮิกาวะตัวแทนที่โอมิยะ

 สำหรับตัวเอง เสียดายมากที่ทำได้เพียงเช้าไปเย็นกลับเท่านั้น จึงยังรู้สึกไม่หนำใจกับบรรยากาศโอโซนที่นี่ ถ้ามีโอกาสก็อยากจะค้างคืนทำกิจกรรมที่มีให้เลือกหลากหลายสักคืน แคมปิ้งกับเพื่อนหรือครอบครัวสักมื้อ และเดินสูดอากาศบริสุทธิ์ให้ชุ่มปอด

 อ๋อ! ใกล้ที่พัก ยังมีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อีกแห่ง ที่โชคดีมีคุณยายดูแลสถานที่นี้ เชิญชวนพวกเราเข้าไปกราบไหว้เจ้าแม่กวนอิม ที่ก่อสร้างด้วยไม้ขนาดใหญ่อายุมากกว่า 100 ปี ซึ่งยังคงความเก่าทั้งในลายศิลปะการแกะไม้และลวดลายบริเวณโดยรอบอย่างดีไว้อีกด้วย

 จบทริปนี้ เราได้แลกเปลี่ยนมุมมองของทั้งคนไทยและคนญี่ปุ่นถึงสถานการณ์หลังนายชินโสะ อาเบะ ได้รับการเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งว่า คนญี่ปุ่นรู้สึกอย่างไร คำตอบที่ได้รับฟังจากคนญี่ปุ่น คืออยากให้เศรษฐกิจเติบโต เพราะตอนนี้ขนาดดอกเบี้ยยังติดลบ ใครฝากเงินกับธนาคารไว้ต้องขาดทุน และขณะที่คนในประเทศเองก็ไม่กล้าใช้จ่ายเงิน

 ปัจจุบันญี่ปุ่นยังคงมีรายได้จากการส่งออกเป็นอันดับหนึ่งอยู่ แต่สิ่งที่เขากำลังจะทำมากขึ้นเพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจ นั่นคือการท่องเที่ยวโดยเป็นเจ้าบ้านที่ดี ทว่ามุมมองอีกด้านหนึ่งของคนที่นี่มองว่า คนญี่ปุ่นยังรักความอิสระในพื้นที่ส่วนตัวของตัวเองอยู่ มีบ้างที่มองว่านักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามามากเกินไป จนพวกเขาเองก็ยังไม่สามารถตั้งรับหรือรับมือได้อย่างเต็มที่

 เอาเป็นว่าไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวหรือเจ้าบ้าน อยากให้มองเรื่องการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และการเคารพสิทธิซึ่งกันและกันเป็นสิ่งที่ควรทำ ซึ่งสำหรับเรานั้น อย่างไรก็รักประเทศญี่ปุ่นและรู้สึกว่าตัวเองมีเพื่อนสนิทอีกคนที่ชื่อว่า “ไซตามะ” ไปแล้ว

..........ใต้ภาพ..........

00(รูปเปิด) วิวชุมชนและลำธารที่ไหลไปรวมเป็นแม่น้ำอิรุมะ

01 ลำธารที่ไหลจากต้นน้ำด้านบนเขาที่ฮันโน่

02 เจ้าแม่กวนอิมโทริคันนนที่นักท่องเที่ยวมากราบไหว้

03 บริเวณเมืองเก่าลิตเติ้ลเอโดะที่คาวาโกเอะ

04 ศาลเจ้าใหญ่ฮิกาวะตัวแทนที่โอมิยะ

05 ซากุระป่าออกมาให้เห็นที่เมืองฮันโน่

06 เขื่อนกักน้ำที่หมู่บ้านนากุริ

07 ต้นโมมิจิหรือเมเปิ้ลกำลังเปลี่ยนสี

08 บริเวณภายในศาลเจ้าฮิกาวะที่โอมิยะ มีต้นไม้ร่มรื่นเดินสูดอากาศบริสุทธิ์

09 ผู้หญิงและเด็กน้อยใส่ชุดกิโมโนที่เมืองคาวาโกเอะ

10 เทศกาลประจำเมืองคาวาโกเอะจัดขึ้นสัปดาห์ที่ 3 ของเดือน ต.ค.

11 คนมากราบไหว้ขอพรศาลเจ้าที่คาวาโกเอะ

12 บรรยากาศร้านอาหาร Turnip หนึ่งในสามร้านอาหารที่ฮันโน่

13 ร้านกาแฟที่เห็นตามซอกซอยในคาวาโกเอะ

14 เขียนคำขอพระจากศาลเจ้าให้สมาชิกครอบครัวมีความสุข