posttoday

เลือกตั้ง66: ธนาธร ปลุกเลือกก้าวไกลเข้าไปเปลี่ยนแปลงประเทศ

08 พฤษภาคม 2566

ธนาธร-ปิยบุตร ช่วยหาเสียง ผู้สมัครส.ส.ก้าวไกล ขอนแก่น กลั่นพอกันทีรัฐมนตรีหน้าเดิมต้องเลือกคนใหม่ไปบริหารประเทศ ปลุกความหวังเลือกส.ส.ก้าวไกลเข้าไปเปลี่ยนแปลง

ในการปราศรัยพรรคก้าวไกลที่สวนประตูเมือง (สวนเรืองแสง) จ.ขอนแก่น ปิยบุตร แสงกนกกุล และธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกลขึ้นปราศรัยหาเสียงให้พรรคก้าวไกล โดยปิยบุตรกล่าวว่าถ้าไม่อยากให้ปัญหาในประเทศไทยเป็นแบบที่เคยเป็นมาในอดีตต้องเลือกพรรคก้าวไกลที่มีความสดใหม่และกล้าหาญ พอแล้วกับรัฐมนตรีหน้าเดิมๆ ที่ย้ายพรรคไปมา นโยบายพรรคก้าวไกลเท่านั้นที่จะผ่าตัดใหญ่ประเทศไทย พร้อมยกตัวอย่างนโยบายสวัสดิการที่จะรองรับชีวิตคนไทยทุกคนตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่เหมือนนโยบายเติมเงินที่เมื่อใช้เงินหมดก็กลับไปจนเหมือนเดิม ด้านธนาธรชี้ว่าจำนวน ส.ส.พรรคก้าวไกลจะเป็นตัวกำหนดว่าประเทศไทยจะแก้ปัญหายากๆ ที่ต้นตอเหล่านี้ได้หรือไม่
 

ในช่วงหนึ่ง ปิยบุตรกล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ใช่แค่เปลี่ยนรัฐบาลเท่านั้น แต่ต้องเปลี่ยนประเทศไทยด้วย ซึ่งพรรคก้าวไกลวันนี้มีความพร้อม เพราะได้ไปรับฟังปัญหาของประชาชนทั่วประเทศ กลั่นออกมาเป็นนโยบาย 300 เรื่อง เป็นพรรคการเมืองพรรคเดียวที่กล้าหาญประกาศนโยบายมากขนาดนี้ พร้อมทำงานให้กับประชาชนทุกคน ทุกประเด็นปัญหา และพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ กล้าประกาศต่อประชาชนว่าภายใน 100 วันแรก ภายใน 1 ปี และภายใน 1 สมัย โรดแมปรัฐบาลก้าวไกลจะทำอะไรบ้าง รวมถึงกล้าประกาศจุดยืนอย่างชัดเจนว่าถ้ามีประยุทธ์ ประวิตร พลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ ก็ไม่มีก้าวไกล แต่ถ้าอยากได้พรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล ประชาชนก็ต้องเลือกพรรคก้าวไกลให้ถล่มทลาย
 

พรรคก้าวไกลยังมีความพร้อมเรื่องความสดใหม่ พรรคการเมืองต่างๆ เป็นนักการเมืองที่เป็นระดับนำทั้งหลายต่างก็เคยเป็นรัฐมนตรีเคยบริหารประเทศกันมาแล้ว เหลือแค่พรรคเดียวที่ยังไม่เคยบริหารประเทศคือพรรคก้าวไกล ถ้าประชาชนบอกว่าปัญหาในประเทศไทย 10 ปี 20 ปี 30 ปี ยังเป็นอยู่แบบเดิม แล้วถ้ายังเลือกแบบเดิม ถ้าเอาคนเดิมมาเป็นเขาก็จะคิดแบบเดิมๆ และทำแบบเดิมๆ ถ้าบ้านเมืองต้องการการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ ต้องเอาคนใหม่ๆ เข้าไปบริหารประเทศ เพราะคนเหล่านี้ไม่มีข้อจำกัดใด กล้าหาญกล้าคิดกล้าลงมือทำ นี่คือความพร้อมของพรรคก้าวไกล

ถึงกระนั้นก็ดีด้วยความที่พรรคก้าวไกลเป็นพรรคการเมืองใหม่ ก็มีพรรคการเมืองอื่นมาบอกว่า นี่เป็นจุดอ่อน เพราะไม่มีประสบการณ์ ไม่เคยบริหารประเทศ บ้านเมืองบอบช้ำมามากแล้ว ไม่ใช่เวลาให้คนใหม่ๆ มาลองของ ปิยบุตรตอบโต้ด้วยการบอกว่า พรรคการเมืองต่างๆ ที่เคยเป็นรัฐบาลจำเป็นต้องมีครั้งแรก และในวันที่พรรคการเมืองที่โจมตีพรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาลครั้งแรก พรรคการเมืองนั้นก็ขายตนเองว่าด้วยความสดใหม่ บ้านเมืองบอบช้ำมามากแล้ว ต้องการความเปลี่ยนแปลง แต่ไฉนวันนี้กลับบอกว่าต้องการประสบการณ์

“ถ้าประสบการณ์หมายถึงรัฐมนตรีที่มีการทุจริตคอรัปชั่น หมายถึงคนที่จ้องจะมาเป็นรัฐมนตรีทุกยุคทุกสมัยไม่ดูอุดมการณ์ความคิดกระโดดข้ามย้ายพรรคไปมาหวังจะเป็นรัฐมนตรีอย่างเดียว พรรคก้าวไกลไม่เอาประสบการณ์แบบนี้ แล้วถ้าจะบอกว่าประสบการณ์หมายความว่าต้องเป็นคนอย่างพวกพี่ๆ เท่านั้นที่เคยบริหารประเทศมา พรรคก้าวไกลบอกประสบการณ์แบบที่รัฐมนตรีเป็นคนหน้าตาเดิมๆมา 20-30 ปีเราไม่เอาแบบนี้ ถ้าจะขายประสบการณ์แบบนี้เดี๋ยวเจอความสดใหม่แบบพรรคก้าวไกลแล้วจะได้รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยทำกันอย่างไร ชุดความคิดแบบเดิม ประสบการณ์แบบเดิม ทำให้พวกเขาย่ำรอยเท้าแบบเดิมๆ มาตลอดไม่คิดเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าเราต้องการความเปลี่ยนแปลงต้องใช้ความกล้าหาญ ใช้ประสบการณ์อย่างเดียวไม่ได้ ต้องใช้ความกล้าหาญ มุ่งมั่น เจตจำนงที่จะเปลี่ยนแปลงให้ประเทศนี้ดีขึ้น” ปิยบุตรกล่าว

ปิยบุตรกล่าวเพิ่มเติมว่า บุคลากรของพรรคก้าวไกลก็ไม่ใช่ไม่มีประสบการณ์ แต่ผ่านการบริหารธุรกิจ ผ่านการศึกษา ผ่านการจัดทำนโยบายมาแล้วทั้งสิ้น 4 ปีที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลคือพรรคที่อภิปรายดีที่สุดในสภา เมื่อรับบทบาทฝ่ายค้านก็ทำเต็มที่ไม่มวยล้มต้องคนดูรูปหน้าปะจมูก และเมื่อเลือกตั้งใหม่ก็ขอโอกาสประชาชนเป็นรัฐบาล ไม่ใช่ตั้งพรรคมาเพื่อจ้องจะเป็นรัฐบาลเพียงอย่างเดียว นี่คือหน้าที่ของพรรคการเมือง

และเมื่อดูไปที่ 300 นโยบายพรรคก้าวไกล วิธีคิดพื้นฐานมาจากความต้องการเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจ แทนที่จะเอายอดสามเหลี่ยมของคนไม่กี่คนไปอยู่ข้างบน แล้วเอาทรัพยากร เอาเงิน เอาอำนาจ ไปไว้กับประชาชนคนส่วนใหญ่ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินนี้ และด้วยวิธีคิดแบบนี้ทำให้พรรคก้าวไกลต้องจัดทำนโยบายในเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่นโยบายประเภทแจกยาปก้ปวดเป็นครั้งคราว แต่ต้องเป็นนโยบายผ่าตัดใหญ่ประเทศไทย ให้กลับมามีชีวิตใหม่ที่สมบูรณ์

ตัวอย่างเช่นสวัสดิการพื้นฐาน และเป็นพรรคเดียวที่ประกาศว่าจะทำสวัสดิการพื้นฐานแบบครบวงจรจริงๆ เพื่อทำให้คนส่วนใหญ่ของประเทศมีความเสมอภาคเท่าเทียม จากการที่นัดลงทุนเอาเงินงบประมาณมาจัดทำสวัสดิการพื้นฐานให้ประชาชน การใช้เงิน 5-6 แสนล้านบาทต่อปีอาจดูเยอะ แต่ถ้าเอามาสร้างสวัสดิการพื้นฐานให้พี่น้องประชาชนทุกคนดำรงชีวิตได้อย่างดีตั้งแต่เกิดจนถึงตาย อย่างนี้คือนโยบายที่ดี

“นโยบายสวัสดิการพื้นฐานฟังดูแล้วเข้าใจยาก ไม่เหมือนนโยบายแบบแจกเงินใส่กระเป๋า ให้ทุกคนมีเงินเพิ่มไปใช้ซื้อของ แต่เมื่อซื้อของแล้วเงินก็ตกไปอยู่ในมือของนายทุน สินค้าต่างๆก็เป็นของนายทุน สรุปว่าคือการเอาเงินเพิ่มให้เราใส่กระเป๋า เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้เศรษฐกิจมันหมุนแต่เมื่อเราใช้เงินนี้หมดเราก็กลับมาจนเหมือนเดิม เมื่อเราใช้เงินก้อนที่รัฐบาลแจกให้หมดเราก็กลับมาลำบากเหมือนเดิม นโยบายการแจกเงินเติมเงินใส่กระเป๋ามันดีไหมดีครับผมไม่เถียงดีแน่นอน แต่มันไม่เพียงพอ มันเป็นเพียงการให้ยาแก้ปวด ดังนั้นถ้าเทียบการเอาเงินจำนวนพอๆ กันหรือมากกว่านิดหน่อยเ มาทำสวัสดิการพื้นฐานเนี่ยฟังดูแล้วอาจไม่หวือหวา ไม่เซ็กซี่ แต่สวัสดิการพื้นฐานคือหลักประกันขั้นพื้นฐานว่าพี่น้องประชาชนเมื่อเกิดมาบนแผ่นดินไทยแล้ว จะไม่ตกละกำลำบากอย่างน้อย มีสวัสดิการพื้นฐานขั้นต่ำรองรับเอาไว้ตั้งแต่เกิดจนตาย” ปิยบุตรกล่าว

นอกจากนี้ ปิยบุตรยังยกตัวอย่างปัญหานโยบายปฏิรูปที่ดินว่าการแก้ปัญหาแบบยาแก้ปวดคือการเรียกมาคุยเป็นครั้งๆ เพื่ออนุโลมให้ทำกินบนที่ดิน แต่พรรคก้าวไกลจะผ่าตัดโดยการตั้งกองทุนพิสูจน์สิทธิเลย ไม่ต้องเข้าๆ ออกๆ ไม่ต้องถูกขับไล่ เปลี่ยน สปก.เป็นโฉนดที่ดินให้ประชาชนได้โฉนดที่ดินเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ เช่นเดียวกันกับการที่ต้องไม่ปล่อยให้เจ้าของที่ดินไม่กี่ตระกูลถือครองที่ดินขนาดใหญ่แต่กลับปล่อยให้คนอีกจำนวนมากยังไม่มีที่ดินทำกิน พรรคก้าวไกลจะผ่าตัดใหญ่ ปฏิรูปที่ดิน ที่จะทำให้เสร็จในการเป็นรัฐบาลรอบนี้

ส่วนเรื่องงบประมาณ พรรคก้าวไกลจะเปลี่ยนจากการแก้ปัญหายาแก้ปวดแบบจัดสรรงบประมาณโดยให้ ส.ส.แย่งงบประมาณลงจังหวัดตัวเองเป็นครั้งๆ แต่พรรคก้าวไกลจะแก้ปัญหาแบบผ่าตัดใหญ่ กระจายอำนาจ เอางาน เอาเงิน เอาอำนาจไปไว้ที่จังหวัด ให้คนในจังหวัดจัดการกันเอง

ปัญหาค่าไฟ ถ้าแก้ปัญหาแบบกินยาแก้ปวดคือการเอางบประมาณแผ่นดินไปอุดหนุนให้ค่าไฟลดเป็นครั้งๆ แต่นโยบายผ่าตัดใหญ่แบบก้าวไกล คือการเข้าไปชน ไปคุย ไปเจรจากับนายทุนผูกขาดพลังงานที่เป็นต้นเหตุปัญหาค่าไฟแพง ให้คนไทยใช้ค่าไฟถูกไปตลอดกาล

“นี่คือการแก้ปัญหาแบบก้าวไกล ถ้าพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล พอกันทีกับการแก้ปัญหาแบบยาแก้ปวด ต้องแก้ปัญหาที่ต้นตอ และไม่ต้องกังวลเพราะพรรคก้าวไกลไม่ต้องเป็นหนี้บุญคุณใครนอกจากเป็นหนี้บุญคุณประชาชน” ปิยบุตรกล่าว

ช่วงหนึ่งของการปราศรัย ธนาธรระบุว่าในการเลือกตั้งครั้งนี้ จำนวน ส.ส.พรรคก้าวไกลจะเป็นตัวกำหนดอนาคต ว่าประเทศไทยจะได้แก้ไขปัญหาที่ยากๆ ที่เป็นต้นตอของปัญหาทั้งมวลในประเทศหรือไม่ เพราะพรรคก้าวไกลคือพรรคที่ยืนยันว่าประเทศไทยต้องการการแก้ปัญหาที่ต้นตอ ฟื้นฟูประชาธิปไตย ซึ่งหากไม่แก้ปัญหานี้ ประชาชนคนไทยก็จะต้องยากจนกันต่อไป ทรัพยากรจะถูกเอาไปใช้สร้างความนิยมทางการเมืองให้กับฝ่ายอนุรักษ์นิยมต่อไป ทรัพยากรในประเทศจะถูกนำไปใช้เอื้อประโยชน์กลุ่มทุนที่สนับสนุนฝ่ายอนุรักษ์นิยมต่อไป และนี่คือเหตุผลที่ทำไมประเทศไทยตอนนี้ ต้องการการแก้ปัญหาที่ต้นตอ ไม่ใช่การแก้ปัญหาแบบปะผุไปวันๆ แบบที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ในบรรยากาศภาพรวมของการปราศรัย มีประชาชนจำนวนมากเข้ามารอฟัง มีการเตรียมหน่วยพยาบาลและรถฉุกเฉินในการดูแลประชาชนที่มาฟังการปราศรัย และมีผู้สมัคร ส.ส. จังหวัดขอนแก่นเข้าร่วมการปราศรัยแสดงจุดยืนและวิสัยทัศน์พรรคก้าวไกลต่อประชาชน ได้แก่

เขต 1 วีรนันท์ ฮวดศรี (เบอร์ 4)
เขต 2 อิทธิพล ชลธราศิริ (เบอร์ 1)
เขต 3 ชัชวาล อภิรักษ์มั่นคง (เบอร์ 4)
เขต 4 วุฒิรักษ์ แพงตาแก้ว (เบอร์ 6)
เขต 5 วิชัย อินทรประสิทธิ์ (เบอร์ 5)
เขต 6 สานิตย์ พระโบราณ (เบอร์ 11)
เขต 7 รุ่งวิชิต คำงาม (เบอร์ 7)
เขต 8 อำนวย  วิชาโคตร (เบอร์ 7)
เขต 9 นัฏศนันท์  ธีรวรวรรณ (เบอร์ 10)
เขต 10 นิวัตร สระพรม (เบอร์ 1)
เขต 11 ณัฏฐณิชา สารบรรณ (เบอร์ 2)