posttoday

เลือกตั้ง66: พีระพันธ์หวั่นแจกเงินดิจิทัลกระทบความเชื่อมั่นประเทศ

12 เมษายน 2566

“พีระพันธุ์” เล็งพิจารณาพื้นที่เหมาะสม พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นเวทีปราศรัย ส่วนการร่วมเวทีดีเบตเจ้าตัวตัดสินใจเอง หวั่นนโนบายเงินดิจิทัลเพื่อไทยกระทบความเชื่อมั่นประเทศ หลังเลือกตั้ง66 จับมือกับใครต้องมีอุดมการณ์เดียวกัน

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงการลงพื้นที่หาเสียงของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) หลังช่วงเทศกาลสงกรานต์ ว่า การลงพื้นที่พรรคจัดวาระให้อยู่แล้ว โดยให้พื้นที่เป็นผู้แจ้งกำหนดการว่าจะให้ไปจุดไหนบ้าง แต่จะต้องพิจารณาตามความเหมาะสมในเรื่องของการขึ้นเวทีปราศรัยแต่ละภาคด้วย ทั้งนี้ การหาเสียงช่วงสงกรานต์ของ พล.อ.ประยุทธ์ จะพิจารณาลงพื้นที่เอง
 

เมื่อถามว่า จะมีการเจาะพื้นที่ไหนเป็นพิเศษหรือไม่ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า พื้นที่เป้าหมายมีทุกภาคอยู่แล้ว แต่ไม่ทราบว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะไปร่วมเวทีดีเบตหรือไม่ แล้วแต่เรื่องและความเหมาะสมและพล.อ.ประยุทธ์จะพิจารณาเองสำหรับกระแสพรรครวมไทยสร้างชาติ ขณะนี้ก็ดี แต่ไม่เคยกำหนดตัวเลข ส.ส.ว่าจะได้เท่าไร แต่จะทำให้ได้เยอะที่สุด 

เมื่อถามอีกว่า นโยบายหาเสียงของพรรคจะมีอะไรออกมาเพิ่มเติมอีกหรือไม่ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า การกำหนดนโยบายของพรรค พล.อ.ประยุทธ์ได้วางแนวทางไว้ให้ ซึ่งก็ตรงกับแนวทางที่พรรคได้กำหนดไว้ ย้ำว่านโยบายต่างๆจะต้องมีความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง ไม่ใช่แค่ให้ได้คะแนนเสียง เพราะการเข้ามาเป็นผู้แทนราษฎรหรือมาทำหน้าที่บริหารประเทศ จะต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวม ไม่ใช่ส่วนตัว ถ้าเริ่มต้นเข้ามาด้วยการที่คิดถึงแต่ส่วนตัว เราจะบริหารประเทศไม่ได้ และจะทำงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวมไม่ได้ ดังนั้นพล.อ.ประยุทธ์ จึงได้มอบแนวทางให้พรรคในการกำหนดนโยบายต่างๆ คือ จะต้องไม่กระทบระเบียบวินัยการเงินการคลัง และไม่กระทบงบประมาณ รวมถึงถ้าเป็นไปได้ให้คงงบประมาณเดิม หรือถ้าจำเป็นต้องเพิ่มก็อย่ามาก และอย่าให้กระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ  เพราะเรื่องเหล่านี้เป็นพื้นฐานของประเทศในอนาคต

เมื่อถามอีกว่า พรรคการเมืองบางพรรคออกนโยบายสุดโต่งทำให้กระทบกับนโยบายรวมไทยสร้างชาติหรือไม่ นายพีระพันธุ์ เชื่อว่า แต่ละพรรคมีวิธีการที่แตกต่างกัน แต่เราจะไม่ใช้วิธีการแบบนั้น ก็แล้วแต่ประชาชนจะพิจารณา

เมื่อถามต่อว่า นโยบายเติมเงินดิจิทัลของพรรคเพื่อไทย อาจจะกระทบทำให้ยกเลิกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (บัตรคนจน) หรือต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า “นั่นแหละ ถึงได้บอกว่าประชาชนต้องพิจารณา มันไม่ใช่ว่าได้ไปหมด มันมีทั้งได้และเสีย ไม่ใช่ว่าได้อันนี้แล้วได้ทุกอย่าง เพราะถ้าได้อันนี้มันต้องไปตัดอีกเยอะ ที่สำคัญได้จริงหรือเปล่าก็ไม่ทราบ และรูปแบบของเงินในลักษณะดังกล่าวทำให้กระทบต่อภาวะความเชื่อมั่นระหว่างประเทศ ในเรื่องค่าเงินบาทอะไรต่างๆด้วยหรือไม่ อันนี้ต้องพิจารณา ซึ่งก็แล้วแต่พรรคเขา เราไปวิจารณ์ไม่ได้ เพราะแต่ละภาคก็มีแนวทางของเขา

ถามอีกว่า ใกล้ถึงช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง มีข้อกังวลอะไรหรือไม่ในการหาเสียง นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า คงไม่กังวล ทำหน้าที่ให้ดีที่สุดแค่นั้นพอแล้ว 

ส่วนบนเวทีปราศรัยที่พูดถึงเรื่องชังชาติ มีบางฝ่ายตั้งข้อสังเกตนั้น นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ตนไม่ได้พูด ไม่ได้สังเกตอะไรทั้งนั้น ตนบอกอย่างไรก็อย่างนั้น ความคิดแต่ละคนแตกต่างกัน ตามสุภาษิตไทยคับที่อยู่ง่าย คับใจอยู่ยาก ฉะนั้นถ้าใครอึดอัดใจ ที่ไหนก็อยู่ไม่ได้ อย่างนี้เป็นธรรมดาตามสุภาษิตไทย คับที่ไม่เป็นไรแต่คับใจมันอึดอัด ถ้าอึดอัดก็อย่าอยู่แค่นั้นเอง ตนพูดไปตามสุภาษิตไทย

เมื่อถามย้ำว่า แต่บางฝ่ายมองว่าประเทศกำลังต้องการความสงบ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ก็แล้วแต่คนจะมองว่าแบบไหนสงบ ทุกคนมีสิทธิจะคิด ตนก็มีสิทธิจะคิดของตนใช่หรือไม่ ต่างคนก็ต่างคิด คนอื่นคิดแล้วก็พูดอย่างที่เขาคิดได้ ตนก็พูดเหมือนที่ตัวเองรู้สึก ว่าสุภาษิตไทยมันเป็นแบบนี้เท่านั้นเอง 

ส่วนพล.อ.ประยุทธ์ แม้คะแนนผลโพลความนิยมจะสูงขึ้น แต่แคนดิเดตนายกฯของพรรคเพื่อไทยก็มีคะแนนนิยมสูงเป็นอันดับ 1 นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ก็ไม่เป็นอะไร บอกแล้วตอนทำงานการเมืองแบบสบายๆ ทั้งหมดอยู่ที่ประชาชนหน้าที่เราคือทำสิ่งที่ดีที่สุด และเสนอสิ่งที่คิดว่าดีที่สุด สำหรับประชาชนและบ้านเมือง ไม่ใช่ดีที่สุดสำหรับเรา

เมื่อถามว่า ตอนนี้แม้จะยังไม่รู้ผลเลือกตั้งแต่พรรครวมไทยสร้างชาติ วาดฝัน เรื่องการจับขั้วรัฐบาลไว้หรือไม่ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ไม่มี แต่สำหรับคนอื่นไม่ทราบ แต่ไม่เคยทำแบบนั้น 

เมื่อถามว่า ชัดเจนแล้วหรือไม่ว่าจะไม่จับมือกับพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ไม่ใช่ ตนไม่ได้พูดถึงพรรคใดพรรคหนึ่ง ทุกครั้งที่พูดในรายการต่างๆหรือเวลาให้สัมภาษณ์จะพูดเสมอว่า พรรคที่จะทำงานด้วยกันได้จะต้องมีหลักการและอุดมการณ์เดียวกัน คือ ชาติศาสน์ กษัตริย์ และประโยชน์ของประชาชนเท่านั้นเองจะเป็นพรรคไหนก็แล้วแต่ ถ้าทำงานเพื่อสถาบันหลักของบ้านเมือง ทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองอย่างแท้จริง ก็ทำงานด้วยกันได้