posttoday

จ้าวยุโรปตัวจริง! 'เรอัล มาดริด' เฉือนชนะ 'ลิเวอร์พูล' 1-0 คว้าแชมป์แชมเปี้ยนส์ลีกสมัย 14

29 พฤษภาคม 2565

'ราชันชุดขาว' เรอัล มาดริด เฉือนชนะ 'หงส์แดง' ลิเวอร์พูล 1-0 จากประตูชัยของ วินีซีอุส จูเนียร์ นาที 59 สร้างประวัติศาสตร์เถลิงบัลลังก์แชมป์ยุโรปเป็นสมัยที่ 14 มากที่สุดตลอดกาล

ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2021-2022 รอบชิงชนะเลิศ ที่สนามสต๊าด เดอ ฟรองซ์ ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เป็นการพบกันระหว่าง 'หงส์แดง' ลิเวอร์พูล แชมป์ยุโรป 6 สมัย กับ เรอัล มาดริด อดีตแชมป์ 13 สมัย

ลูกทีมของเยอร์เก้น คล็อปป์ นำทัพโดยสามประสานอย่าง โมฮัมเหม็ด ซาล่าห์, ซาดิโอ มาเน่ และ หลุยส์ ดิอาซ ขณะที่ เรอัล มาดริด ของคาร์โล อันเชลอตติ มีคู่ประสานอย่าง คาริม เบนเซม่า และ วินิซีอุส จูเนียร์ นำทัพ

ก่อนเกมนี้ เกิดปัญหาเรื่องการจัดระบบตั๋วและแฟนบอลบางส่วนที่ไม่มีตั๋วแต่พยายามฝ่าเข้าสนาม ทำให้เกมต้องเริ่มช้ากว่ากำหนด 30 นาที 

เกมส่วนใหญ่เป็นลิเวอร์พูลที่เป็นฝ่ายครองบอลและสร้างโอกาสได้มากกว่าชัดเจน โดยนาทีที่ 16 นาที ของลิเวอร์พูลมีโอกาสใกล้เคียง จากจังหวะที่ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ไหลบอลทางกราบขวาเข้ากลางให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ล้มตัวยิงด้วยขวาไปโดน ธิโบต์ กูร์ตัวส์ ล้มตัวปัดไว้ได้

ต่อมานาทีที่ 21 หงส์แดงมีโอกาสทองอีกครั้ง จากจังหวะที่ ติอาโก้ อัลคันทารา ไหลบอลให้ ซาดิโอ มาเน เลี้ยงหาช่องในเขตโทษแล้วยิงด้วยขวาไปโดน ธิโบต์ กูร์ตัวส์ พุ่งปัดไปชนเสาแล้วตามมาคว้าบอลติดมือ

มาดริดเองตั้งรับอย่างอดทน และมีโอกาสตอบโต้หนัก ๆ เช่นกัน โดยสามารถส่งบอลเข้าไปตุงตาข่าย จากจังหวะที่บอลชุลมุมในเขตโทษแล้วไปเข้าทาง คาริม เบนเซมา แปด้วยซ้ายเข้าไป แต่โดนผู้ช่วยผู้ตัดสินยกธงล้ำหน้า และเมื่อผู้ตัดสินเช็ค VAR ก็ยังยืนยันคำเดิม ทำให้จบครึ่งแรกสกอร์ยังเสมอกันอยู่ 0-0

จ้าวยุโรปตัวจริง! \'เรอัล มาดริด\' เฉือนชนะ \'ลิเวอร์พูล\' 1-0 คว้าแชมป์แชมเปี้ยนส์ลีกสมัย 14

ครึ่งหลังมาเป็นฝั่งของราชันชุดขาวจัดการพังประตูขึ้นนำ ในนาทีที่ 59 จากจังหวะที่ เฟเดริโก้ วัลเวร์เด้ กึ่งยิงกึ่งผ่านทางกราบขวาลึกไปเสาไกลให้ วินิซิอุส จูเนียร์ สอดมาแปด้วยขวาจ่อ ๆ ไม่เหลือ มาดริด ออกนำ 1-0

จ้าวยุโรปตัวจริง! \'เรอัล มาดริด\' เฉือนชนะ \'ลิเวอร์พูล\' 1-0 คว้าแชมป์แชมเปี้ยนส์ลีกสมัย 14

จ้าวยุโรปตัวจริง! \'เรอัล มาดริด\' เฉือนชนะ \'ลิเวอร์พูล\' 1-0 คว้าแชมป์แชมเปี้ยนส์ลีกสมัย 14

จากนั้นแม้ว่าลิเวอร์พูลจะพยายามเปิดฉากโหมบุกหนักเพื่อหวังตีเสมอให้ได้ ทว่าก็ยิงไม่ผ่านมือ ธิโบต์ กูร์ตัวส์ ที่วันนี้โชว์ฟอร์มเหนียวหนีบเซฟสำคัญได้ถึง 9 เซฟ ทำให้สุดท้ายจบเกมเป็นเรอัล มาดริดชนะไป 1-0 ผงาดคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นสมัยที่ 14 มากที่สุดในประวัติศาสตร์ตลอดกาลได้สำเร็จ และพวกเขาเป็นแชมป์ยุโรป 5 จาก 9 ครั้งหลังสุดที่เข้าชิงอีกด้วย

รายชื่อนักเตะทั้งสองทีม 

ลิเวอร์พูล : อลิสซอน เบ็คเกอร์; เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, อิบราฮิมา โกนาเต้, เฟอร์จิล ฟาน ไดค์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน; จอร์แดน เฮนเดอร์สัน (นาบี เกอิต้า น.77), ฟาบินโญ, ติอาโก้ อัลคันทารา (โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน น.77); โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน, หลุยส์ ดิอาซ (ดิโอโก้ โชต้า น.65)

สำรองไม่ได้ใช้ : เจมส์ มิลเนอร์, โจ โกเมซ, อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, เคอร์ติส โจนส์, ทาคุมิ มินามิโนะ, คอสตาส ซิมิคาส, โฌแอล มาติป, ควีวีน เคลเลเฮอร์, ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์

เรอัล มาดริด : ธิโบต์ กูร์ตัวส์; ดานี การ์บาฆาล, เอแดร์ มิลิเตา, ดาวิด อลาบา, แฟร์กล็องด์ เมนดี้; ลูก้า โมดริช (ลูก้า โมดริช น.90), คาเซมิโร, โทนี โครส; เฟเดริโก้ วัลเวร์เด้ (เอดูอาร์โด้ คามาวินก้า น.85), คาริม เบนเซมา, วินิซิอุส จูเนียร์

สำรองไม่ได้ใช้ : นาโช เฟร์นานเดซ, เอเด็น อาซาร์, มาร์โก อเซนซิโอ, มาร์เซโล, อังเดร ลูนิน, ลูคัส บาสเกวซ, แกเร็ธ เบล, โรดรีโก้, อิสโก้, มาเรียโน ดิอาซ