posttoday

คมคิดออนไลน์วันนี้ขอเสนอเรื่อง "ปฏิรูปสาธารณสุข ในยุคประยุทธ์2"

02 กรกฎาคม 2562

สถานการณ์ในภาพรวมนับแต่รัฐบาลมีระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าคนไทยเข้าถึงบริการรักษาพยาบาลได้ดีขึ้น

สถานการณ์ในภาพรวมนับแต่รัฐบาลมีระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าคนไทยเข้าถึงบริการรักษาพยาบาลได้ดีขึ้น

..............................

โดย พลเดช ปิ่นประทีป สมาชิกวุฒิสภา

เสียงเรียกร้องการปฏิรูปประเทศ ที่ดังก้องกังวานมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เหตุการณ์วิกฤติความขัดแย้งทางการเมือง ปี 2553 เรื่อยมาจนกระทั่งเริ่มซาลงเมื่อมีการยึดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557

เมื่อเวลาได้ผ่านไปถึง 5 ปี ความคาดหวังที่อยากเห็นความเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้ ยังไม่มี ความรู้สึกผิดหวังจึงเกิดขึ้นในส่วนลึกของผู้คน และส่วนหนึ่งได้สะท้อนออกมาให้เห็นในปรากฏการณ์การเลือกตั้งทั่วไป 24 มีนาคม ที่เพิ่งผ่านไป

อันที่จริง ถ้าสำรวจผลงานของรัฐบาลอย่างให้ความเป็นธรรม จะพบว่าในหลายโครงการ หลายนโยบาย และกฎหมายหลายต่อหลายฉบับที่รัฐบาลและสนช.ได้ดำเนินการไปในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีลักษณะของการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงอยู่ไม่น้อย อาทิ ประเด็นประมงพาณิชย์ พรบ.ป่าชุมชน ขนส่งมวลชนระบบราง วิสาหกิจเพื่อสังคม ฯลฯ

แต่การที่ประชาชนมองไม่ค่อยเห็น ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะยังไม่ปรากฏการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ตามมาด้วยสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.) และล่าสุดคือคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ 11 คณะ

๔ สถานการณ์ภาพรวม

1.คนไทยเจ็บป่วยไปโรงพยาบาลกันมากขึ้น

นับตั้งแต่มีระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า คนไทยสามารถเข้าถึงบริการรักษาพยาบาลได้ดีขึ้น ปี ๒๕๕๖ คนไทยป่วยเข้าโรงพยาบาลแบบคนไข้นอก ๑๕๕ ล้านครั้ง มาปี ๒๕๖๐ คนไข้นอกเพิ่มเป็น ๓๐๐ ล้านครั้ง นอกจากนั้น คนไข้ในก็เพิ่มจาก ๑๒๐ ล้านวัน/ปี เป็น ๒๙๐ ล้านวัน/ปี ส่วนสาเหตุนั้นมาจากหลายปัจจัย ซึ่งจะไม่วิเคราะห์ในที่นี้

2.คนไข้ล้นโรงพยาบาลรัฐ ไม่สามารถดูแลคุณภาพบริการ

ในเมื่อปริมาณคนไข้พุ่งทะยานแบบนี้ โรงพยาบาลรัฐ โดยเฉพาะของกระทรวงสาธารณสุขที่มีอยู่ถึง ๑,๐๐๐ โรง เป็นส่วนที่รับภาระหนักที่สุด การเพิ่มอัตรากำลังไม่สามารถทำได้ ทั้งผลิตและบรรจุล้วนมีข้อจำกัด หมอพยาบาลทุกคนอยู่ในระบบราชการและเป็นมนุษย์ปุถุชนด้วยกันทุกคน มีเหนื่อยมีล้า คุณภาพบริการจึงถดถอยลงไปตามปริมาณงานที่ต้องแบกรับ นอกจากประชาชนต้องรอคิวนานแล้ว เวลาที่ได้รับการดูแลก็มีน้อยมาก ไม่เป็นที่พึงพอใจ

3.โรงพยาบาลเอกชนโขกราคา ยังควบคุาค่าบริการไม่ได้

ประชาชนที่มีกำลังจ่ายส่วนหนึ่ง ที่ทนรอการรักษาในโรงพยาบาลรัฐไม่ไหว พากันไปรักษากับโรงพยาบาลเอกชน ก็ไปพบกับอีกปัญหาหนึ่งคือ ค่ารักษาพยาบาลของโรงพยาบาลเอกชนแพงระยิบระยับ เพราะเขาต้องลงทุนและหวังผลกำไรในเชิงธุรกิจ

ปัจจุบันโรงพยาบาลเอกชนเติบโตกันมาก โดยเฉพาะเครือโรงพยาบาลเอกชนรายใหญ่ๆ นอกจากนั้นยังมีปัญหาแย่งทรัพยากรไปจากภาครัฐอีก คือหมอพยาบาล เมื่อหมอพยาบาลส่วนหนึ่งไหลไปอยู่กับเอกชน ส่วนที่เหลืออยู่ก็ต้องแบกภาระงานเพิ่มขึ้นไปอีก จึงเป็นเหมือนงูกินหาง

อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้บริโภคพากันเรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหา ควบคุมราคาโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งในที่สุดกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ได้เข้ามาดูแล โดยออกเป็นมาตรการให้เปิดเผยแจกแจงโครงสร้างราคาค่าบริการ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าวิธีนี้จะได้ผลแค่ไหน

4.ระบบหลักประกันสุขภาพหลัก 3 กองทุน มีความเหลื่อมล้ำ

ทุกวันนี้ ประชาชนคนไทยเกือบร้อยละ ๙๙ ต่างอยู่ในระบบหลักประกันสุขภาพแบบใดแบบหนึ่ง ได้แก่ กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) กองทุนประกันสังคม (สปส.) และกรมบัญชีกลางซึ่งดูแลข้าราชการทั้งประเทศ

แต่ทั้งสามระบบนี้ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากรัฐไม่เท่ากัน ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในด้านคุณภาพการบริการด้วย กล่าวคือ สปสช.ได้รับงบประมาณ ๒,๖๐๐ บาท/หัว สปส.ได้รับงบสนับสนุน ๓,๐๐๐ บาท/หัว ส่วนข้าราชการรัฐจ่ายให้เฉลี่ย ๑๓,๐๐๐ บาท/หัว

๑๐ แผนปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข

เพื่อแก้ปัญหาระบบสาธารณสุขในระยะยาว คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุขได้จัดทำแผนปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุขเอาไว้แล้ว ประกอบ ๔ ด้าน ๑๐ ประเด็น แต่ละประเด็นจะมีแผนปฏิรูปต่อเนื่อง

1.ด้านการบริหาร – มีเรื่องคณะกรรมการนโยบายสุขภาพแห่งชาติ(super board) กองทุนหลักประกันสุขภาพระดับเขต ระบบสารสนเทศและข้อมูลสุขภาพ และกำลังคนด้านสุขภาพ

2.ด้านการบริการ – มีเรื่องระบบบริการการแพทย์ปฐมภูมิ การแพทย์แผนไทย การแพทย์ฉุกเฉิน และการส่งเสริม ป้องกันและควบคุมโรค

3.ด้านคุ้มครองผู้บริโภคและผู้ให้บริการ – ครอบคลุมทั้งในด้านการคุ้มครองผู้บริโภค ผู้ให้บริการและความรอบรู้เท่าทันด้านสุขภาพของประชาชน

4.ด้านระบบงบประมาณและการจ่ายเงิน – คือเรื่องระบบสิทธิประโยชน์หลักและสิทธิประโยชน์เสริม รวมทั้งแหล่งที่มาของงบประมาณ การร่วมจ่าย และระบบการจ่ายตามคุณภาพของบริการ

๔ ปัญหาท้าทาย

หลังจากใช้เวลาหมดไป ๕ ปี ในกระบวนการจัดทำแผนปฏิรูปประเทศ ในยุครัฐบาลประยุทธ์(2) จึงถึงเวลาที่จะต้องขับเคลื่อนสู่ภาคปฏิบัติการ แต่ยังมีประเด็นความท้าทายอย่างน้อย ๔ ประการ ได้แก่ รัฐบาลและกระทรวง ทบวง กรม เป็นหน่วยงานผู้ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงตามแผนปฏิรูป มีสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา รวมทั้งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านต่างๆเป็นกลไกกำกับ ติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัด

1.ปัญหาสาธารณสุขเป็นระบบที่ซับซ้อน

ระบบสาธารณสุขมีมิติที่หลากหลายและซับซ้อน การแก้ปัญหาไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยมาตรการใดมาตรการหนึ่งได้ จึงต้องการความเข้าใจของสังคมและผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อมิให้คาดหวังอะไรที่ได้ผลรวดเร็วและยั่งยืนแบบเกินจริง ขณะเดียวกันก็ต้องการการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงไปพร้อมๆกันอย่างเป็นระบบ

2.มีความเข้าใจที่แตกต่าง

รัฐบาลและกระทรวง ทบวง กรม เป็นหน่วยงานผู้ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงตามแผนปฏิรูป ในขณะที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้มีสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา รวมทั้งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านต่างๆเป็นกลไกกำกับ ติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัด ปัญหาความเข้าใจที่แตกต่างระหว่างคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข วุฒิสภา กับกระทรวงสาธารณสุขในหลายเรื่องยังเข้าใจแตกต่างกันมาก โดยเฉพาะด้านการบริหารจัดการและการกระจายอำนาจและบทบาทหน้าที่

3.องค์กรตระกูล ส.ถูกกันออกไป

ในช่วงที่ผ่านมา กระบวนการแต่งตั้งและทำงานของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข องค์กรตระกูล ส.มีสภาพเหมือนถูกกันออกไปถูกกันออกไป จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ทำให้ขาดการมีส่วนร่วมและสำนึกความเป็นเจ้าของ ซึ่งควรได้รับการแก้ไข

4.การประสานงานข้ามวัฒนธรรม

ระหว่างรัฐบาลผสมและรัฐมนตรีที่มาจากพรรคการเมืองที่หลากหลาย กับข้าราชการกระทรวงสาธารณสุข รวมทั้ง คปสธ.และส.ว.จะทำงานแบบสานพลัง โดยไม่เกิดการขัดแข้งขัดขากันได้อย่างไร