posttoday

สสจ.บุรีรัมย์ห่วงคุมโควิดไม่อยู่หลังพบคลัสเตอร์ร้านกาแฟลุกลาม

25 พฤษภาคม 2564

บุรีรัมย์-สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดห่วงการระบาดของโควิดระลอกใหม่จะคุมไม่อยู่ หลังพบผู้ป่วยเจ้าของร้านกาแฟย่านชุมชนกลางเมืองกระจายเชื้อแล้ว 18 ราย หวั่นเกิดคลัสเตอร์ใหม่ออกนอกชุมชนเมือง

เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดบุรีรัมย์ ได้เผยแพร่ข้อมูลประชาสัมพันธ์ผ่านเพจ เฟซบุ๊ก สสจ.บุรีรัมย์ ระบุว่า “บุรีรัมย์ เกิดการระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่ หวั่นคุมไม่อยู่ จังหวัดบุรีรัมย์ พบผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพศชาย อายุ 60 ปี อาชีพ เจ้าของร้านกาแฟย่านชุมชนใจกลางเมืองบุรีรัมย์ และพบผู้ติดเชื้อเพิ่มเติมที่มีความเชื่อมโยงกับผู้ป่วยรายนี้ จำนวน 18 ราย เนื่องจากผู้ป่วยรายดังกล่าว มีประวัติการเดินทางไปในหลายพื้นที่ ซึ่งมีความเสี่ยงสูงในการสัมผัสกับประชาชนอื่นจำนวนมาก ขณะนี้ยังไม่สามารถค้นหาต้นตอการติดเชื้อได้ หวั่นเกิดการระบาดคลัสเตอร์ใหม่ออกนอกชุมชนเมือง

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดบุรีรัมย์ ได้ค้นหาผู้ป่วยเชิงรุกในเขตชุมชนเมือง ที่มีประวัติสัมผัสผู้ป่วยรายดังกล่าว และพบว่า ผู้ป่วย 27 ราย พักอาศัยอยู่ในชุมชนใกล้เคียงกัน และกระจายออกยังพื้นที่อื่นๆ ในเขตเมือง เช่น ชุมชนหนองแปบ ชุมชนโคกกลาง

สสจ.บุรีรัมย์ห่วงคุมโควิดไม่อยู่หลังพบคลัสเตอร์ร้านกาแฟลุกลาม

สถานการณ์ล่าสุด จังหวัดบุรีรัมย์ พบผู้ป่วย COVID-19 สะสมตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 จนถึงปัจจุบัน จำนวน 186 ราย มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในหลายพื้นที่ ทั้งในเขตเมืองและชุมชน อีกทั้งยังพบการรายงานผู้เสียชีวิต จำนวน 3 ราย ซึ่งผู้ป่วยรายล่าสุดที่เสียชีวิตเป็นเพศชาย อายุ 71 ปี อยู่ในพื้นที่ตำบลประโคนชัย อำเภอประโคนชัย และยังพบว่าผู้ป่วยระยะหลังส่วนใหญ่ไม่สามารถหาแหล่งโรคได้ ซึ่งที่ผ่านมาจังหวัดบุรีรัมย์ได้กำหนดมาตรการด้านสังคมและด้านกฏหมายผ่านกลไกคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดบุรีรัมย์ โดยการคัดกรองค้นหากลุ่มเสี่ยงเชิงรุกในพื้นที่ การปิดหมู่บ้าน จำนวน 4 หมู่บ้าน ในพื้นที่ที่มีการระบาด ได้แก่ บ้านโคกสะอาด หมู่ที่ 8 ตำบลปังกู อำเภอประโคนชัย , บ้านสาวเอ้ หมู่ที่ 2 และบ้านหนองไผ่ หมู่ที่ 12 ตำบลหินเหล็กไฟ อำเภอคูเมือง , บ้านเสม็ด หมู่ที่ 7 ตำบลหนองเต็ง อำเภอกระสัง รวมทั้งดำเนินกิจกรรมเฝ้าระวังป้องกัน ควบคุมโรคอย่างใกล้ชิดผ่านเครือข่าย อสม.เคาะประตูบ้าน

ดังนั้น การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 ในประชาชนกลุ่มเสี่ยงที่มีอายุ 18 ปี ขึ้นไป ให้ครอบคลุมร้อยละ 70 ของประชาชนกลุ่มเสี่ยงทั้งหมด จำนวน 1,141,983 คน จะเป็นแนวทางในการลดความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วย ความรุนแรง และการเสียชีวิตได้