posttoday

ชัยภูมิสั่งห้ามขายเหล้าเบียร์สงกรานต์ พร้อมลงดาบผู้ฝ่าฝืน

10 เมษายน 2563

ชัยภูมิ-ผู้ว่าฯจัดหนักออกคำสั่งพ.ร.ก.ห้ามขายเหล้าเบียร์สงกรานต์ 11-20 เม.ย. ผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

เมื่อวันที่ 10เม.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าสถานการณ์ในเขตพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ หลังทางนายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีจึงได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ฉบับลงวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ.2563 เกี่ยวกับโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือโรคโควิด 19 เป็นโรคติดต่ออันตราย และจังหวัดชัยภูมิมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นและมีกลุ่มเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังจำนวนมาก

จึงได้อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 35 (1) แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 และข้อ 2 (3) และข้อ 7 (1) ของข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดบริหารราชการ ในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2563 ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

ล่าสุดนาย ณรงค์ วุ่นซิ้ว ผู้ราชการจังหวัดชัยภูมิได้ประชุมโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดชัยภูมิ เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2563 ที่ผ่านมา จึงมีคำสั่ง ให้สถานที่จำหน่ายสินค้าทั้งปลีกและส่ง ปิดเฉพาะพื้นที่หรือบริเวณจำหน่ายสุรา หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด โดยสามารถจำหน่ายสินค้าประเกทอื่นได้ตั้งแต่วันที่11เม.ย.จนถึงวันที่20เม.ย.63 เป็นต้นไปจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะตรงกับช่วงเทศกาลสงกรานต์ซึ่งเป็นวันปีใหม่ไทยอีกด้วย โดยผ่านมาจะมีพี่น้องประชาชนจากทั่วสารทิศเดินทางกลับสู่ ภูมิลำเนาบ้านเกิดเพื่อที่จะไป รดน้ำดำหัว พ่อแม่ผู้หลักผู้ใหญ่และร่วมงานบุญ ผ้าป่าพร้อมกับร่วมสังสรรค์เล่นน้ำสงกรานต์กันอย่างสนุกสนานและสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศหลายพันล้านบาทซึ่งเป็นช่วงที่มีความสุขที่สุดของคนไทย ตลอดทุกปีที่ผ่านมา

โดยในปีนี้สถานการณ์จากโรคไวรัสโควิด-19 ยังไม่คลี่คลายจึงจำเป็นที่ทางรัฐต้องออกมาบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งคัดเพื่อปกป้องเพื่อป้องกันสกัดกั้นไม่ให้เชื้อไวรัสนี้แพร่กระจายเพิ่มมากไปกว่านี้อีก จึงต้องขอให้พี่น้องประชาชนชาวชัยภูมิได้อดทนและร่วมฝ่าฟันสถานการณ์นี้ไปพร้อมกันให้เร็วที่สุด

ขณะที่พล.ต.ต.สมพจน์ จองปรางค์ ผบก.ภ.จว.ชัยภูมิได้สั่งการเข้มในทุกพื้นที่ทั้ง 29 สภ. ให้ออกกำชับเข้มงวดในคำสั่งประกาศอย่างจริงจังและขอเตือนหากมีผู้ใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามมาตรา 18 แห่งพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 อีกด้วยต่อไป