posttoday

สารพัด‘ปริศนาดำมืด’2557

31 ธันวาคม 2557

รอบปี 2557 มีเหตุการณ์คาใจสังคมมากมายที่ยังไม่มีคำตอบว่า เกิดอะไรขึ้น ใครอยู่เบื้องหลัง แม้บางเรื่องจะเป็นคดีความ แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหาตัวผู้บงการได้

รอบปี 2557 มีเหตุการณ์คาใจสังคมมากมายที่ยังไม่มีคำตอบว่า เกิดอะไรขึ้น ใครอยู่เบื้องหลัง แม้บางเรื่องจะเป็นคดีความ แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหาตัวผู้บงการได้ “โพสต์ทูเดย์” จึงได้รวบรวมเรื่องปริศนาดำมืดแห่งปี ดังนี้

เอ็มเอช 370 ไร้ร่องรอย

การหายไปอย่างลึกลับของเครื่องบินของสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ส เที่ยวบินเอ็มเอช 370 เมื่อวันที่ 8 มี.ค. 2557 พร้อมผู้โดยสารและลูกเรือบนเครื่อง 239 ชีวิต ยังคงเป็นปริศนามาจนถึงปัจจุบัน แม้ทีมค้นหานานาชาติจะพยายามมานานกว่าเดือนก็ยังไม่พบชิ้นส่วน ทำให้เกิดทฤษฎีมากมายเพื่ออธิบายถึงการหายไปของเครื่องบินลำนี้

ทฤษฎีการก่อการร้าย เป็นแนวทางที่คนให้ความสนใจในช่วงแรกหลังจากเครื่องบินหายไป เพราะกรณีการเปลี่ยนเส้นทางบินโดย “ตั้งใจ” และมีการตัดระบบการสื่อสารของเครื่องบินเอ็มเอช 370 นับเป็นสิ่งที่ผิดปกติ นอกจากนี้เสียงสุดท้ายที่ตอบหอควบคุมการบินของมาเลเซียยังเป็นคำพูดซึ่งไม่ใช่ลักษณะการพูดของนักบินปกติ ต่อมาคือ เครื่องบินถูกจี้ ถือเป็นทฤษฎีที่มีความเป็นไปได้ไม่น้อยกว่าก่อการร้าย

ยังมีทฤษฎีนักบินจงใจก่อเหตุ ถือเป็นทฤษฎีที่มีความเป็นไปได้สูง เพราะจากรายงานของทางการแดนเสือเหลืองว่ามีคนตั้งใจปิดสวิตช์เครื่องมือสื่อสารของเครื่องบิน ซึ่งพุ่งเป้าไปที่ตัวนักบินเอง จากการสืบประวัติพบว่า ซาฮารี อาเหน็ด ซาห์ กัปตันเที่ยวบินเอ็มเอช 370 เป็นผู้หัวรุนแรงทางการเมืองและไม่ชอบพรรครัฐบาลอัมโน

ท้ายที่สุดคือ เครื่องบินลงจอดแต่ถูกซ่อนไว้ ซึ่งเป็นทฤษฎีที่มีความเป็นไปได้สูงที่สุด เนื่องจากทีมค้นหาไม่พบเศษวัตถุของเครื่องบินลำดังกล่าวแม้แต่น้อย

สารพัด‘ปริศนาดำมืด’2557

 

ทุบหุ้น ‘จันทร์ทมิฬ’

ตลาดหุ้นไทยดิ่งหนักสุดในรอบ 6 ปี เหตุเกิดเมื่อวันที่ 15 ธ.ค. หรือเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “จันทร์ทมิฬ” ทั้งยังร่วงแรงที่สุดในเอเชีย เพราะมีข่าวลือท่วมตลาด โดยในช่วงเวลา 15.30 น. ดัชนีร่วงลงอย่างรวดเร็วและลงแบบตั้งตัวไม่ติดถึง 138.93 จุด จนหลุดระดับ 1,400 จุด หรือลงไปถึง 9.71% ก่อนที่จะมีแรงซื้อกลับมาหนุนตลาดให้ฟื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็วในปลายตลาดก่อนจะปิดที่ 1,478.49 จุด ลดลง 36.46 จุดหรือ 2.41% เมื่อรวมกันตั้งแต่วันที่ 4-15 ธ.ค. มูลค่าตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป) หายไปทันที 1.1 ล้านล้านบาท เหลือ 13.61 ล้านล้านบาท

มูลค่าการซื้อขายหุ้นในวันนั้นสูงลิ่วถึง 1.02 แสนล้านบาท สูงที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในปี 2518 ส่วนค่าเงินบาทไหลลงมาแตะ 33 บาท/เหรียญสหรัฐ ในวันนั้นใครที่ขายก่อนรอด ใครขายไม่ทันจนลงในพริบตา เพราะมีข่าวออกมาว่ามีนักลงทุนจำนวนมากโดนบังคับขายหุ้นออกไป ขณะที่วงประชุม คสช. ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน หลุดคำพูดออกมาว่า คือ “มันเล่นเราแล้ว”

“จันทร์ทมิฬ” วันนั้นยังคาใจนักลงทุนว่า ใครอยู่เบื้องหลังปล่อยข่าวทุบหุ้นเล่นเอาแมลงเม่าเจ็บตัวกันถ้วนหน้า

จีทูเจี๊ยะข้าว

ผลขาดทุนในโครงการรับจำนำข้าว 6.8 แสนล้านบาท ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่เพียงแต่เกิดจากการรับจำนำที่สูงกว่าราคาตลาดเท่านั้น แต่ยังเกิดจากการทุจริตในการระบายข้าวที่เกิดขึ้นอย่างโจ่งครึ่ม โดยเฉพาะมาตรการนำข้าวที่รับจำนำไปขายแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) แต่ปรากฏข้อมูลในทางลึกว่า ผู้ดูแลนโยบายข้าวขณะนั้นคือ บุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ เปิดทางให้มีการขายข้าวแบบจีทูจีปลอม เพราะมีกลุ่มบุคคลที่มีสายสัมพันธ์กับรัฐบาลนำคู่ค้าที่อำพรางตัวมาอ้างว่านี่คือตัวแทนรัฐบาลจีน

หลักฐานที่มัดชัดที่สุดคือ การขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ ระหว่างกรมการค้าต่างประเทศและรัฐวิสาหกิจจีนในช่วงเดือน ส.ค. 2554-มิ.ย. 2556 ปริมาณ 4.8 ล้านตัน เมื่อตรวจสอบข้อมูลของบริษัทผู้แทนซื้อข้าวรัฐบาลจีน 2 บริษัท คือ GssG imp. & exp.Corp และ Hainan grain & oil industrial trading ที่อ้างว่าเป็นการขายข้าวจีทูจีกลับมีการทำธุรกรรมกันในนามบริษัทเท่านั้น และทั้งสองบริษัทมิได้เป็นรัฐวิสาหกิจจีน

นอกจากนี้ เมื่อตรวจสอบหลักฐานการสั่งจ่ายเงินและการขนข้าวออกไปกลับพบว่า การซื้อขายข้าวที่อ้างว่าเป็นการขายแบบจีทูจีที่ส่งมอบตามสัญญาในปริมาณ 4.8 ล้านตัน พบว่า มีการส่งออกข้าวไปจีนโดยมีเอกสารการส่งออกจากกรมศุลกากรเพียง 3.75 แสนตันเท่านั้น ขณะที่การเบิกข้าวจากโกดังรัฐและมีการอ้างว่าเป็นการขายข้าวจีทูจีนั้น ที่จริงแล้วเป็นการเบิกข้าวมาแล้วนำข้าวไปเวียนเทียนขายในประเทศจนทำให้เจ๊และเสี่ยรับเงินไปมหาศาล

ขณะที่ ป.ป.ช.มีมติแจ้งข้อกล่าวหา บุญทรง และพวก กรณีทุจริตขายข้าวแบบจีทูจี พ่วงด้วยมติให้ไต่สวนยิ่งลักษณ์ กรณีละเว้นหน้าที่ที่จะยุติความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าว จนถึงขณะนี้กรณีขายข้าวแบบจีทูจียังไม่ไปไหน และไม่มีใครรับผิดชอบกับความเสียหายที่เกิดขึ้น

สารพัด‘ปริศนาดำมืด’2557

 

‘พงศ์พัฒน์’ ตกม้าตาย

คดีประวัติศาสตร์ ของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก. ที่ถูกย้ายฟ้าผ่า ก่อนเส้นทางรับราชการตำรวจต้องยุติลงถูกเปลี่ยนสถานะเป็น “ผู้ต้องหา” เพียงช่วงเวลาข้ามคืน น่าสงสัยทำไมนายตำรวจระดับ “ปรมาจารย์” ด้านสืบสวน ถึงจนมุมง่ายดาย เป็นไปไม่ได้หรือที่ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ จะไม่ทราบข่าวตั้งแต่แรกว่าตนเองจะถูกจับกุม ในวงการตำรวจเคยพูดไว้ว่า “หากตำรวจไม่เป็นตำรวจดีก็เป็นโจรที่จับได้ยาก” เพราะตำรวจทราบดีว่าซอกมุมไหนจะหลบหนีการจับกุมได้ เนื่องจากทุกคนผ่านการฝึกฝนจนเชี่ยวชาญ หรืออาจเป็นเพราะ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ชะล่าใจเพราะว่าใหญ่คับฟ้า ไม่มีใครกล้าจับหลังรีดไถส่วยมานานกว่า 4 ปี

อีกปริศนารอไขความจริง คือ การเสียชีวิตของ พ.ต.อ.อัครวุฒิ์ หลิมรัตน์ อดีต ผกก.1 กองปราบปราม 1 ลูกน้องคนสนิท พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ที่ตายกะทันหัน ในช่วงไล่เลี่ยกับที่ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ถูกจับกุม จนถึงวันนี้ยังไม่มีใครช่วยคืนความยุติธรรมให้ มีเพียงภาพใบมรณบัตร ระบุชัดช่วงเวลา 01.00 น. วันที่ 20 พ.ย. 2557 สิ้นใจที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า สาเหตุ “กระดูกสันหลังส่วนอกหักหลายชิ้นเนื่องจากตกจากที่สูง” ที่น่าเคลือบแคลงคือ ถัดมาเพียง 1 วัน มีการส่งศพ พ.ต.อ.อัครวุฒิ์ มาจากโรงพยาบาลเพื่อทำพิธีฌาปนกิจอย่างเงียบๆ

ข่าวลือสารพัดพูดกันต่างๆ นานา ว่า พ.ต.อ.อัครวุฒิ์ ถูกจับโยนลงมาโดยคนมีสี หลังถูกควบคุมตัวไปคุมวินัยในค่าย จ.ประจวบคีรีขันธ์ บ้างก็ว่าถูกซ้อมแล้วมาอำพรางศพ เป็นปริศนาที่คลุมเครือไม่จบสิ้น

‘เสี่ยโจ้’ ล่องหน

ชื่อของ สหชัย เจียรเสริมสิน หรือ เสี่ยโจ้ เป็นที่ต้องการตัวของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในฐานะผู้ต้องหาลักลอบค้าน้ำมันเถื่อนรายใหญ่ในภาคใต้ ยังโยงใยกับเครือข่ายการกระทำผิดของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ทว่า “เสี่ยโจ้” ยังคงหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย มีข่าวลือออกมาหลายทิศทาง หลบหนีไปอยู่ที่กัมพูชา บางรายงานพบรถต้องสงสัยใกล้ชายแดนประเทศมาเลเซีย หรือข่าวว่ามีบ้านพักอยู่ที่ประเทศเวียดนาม รวมถึงถูกอุ้มฆ่าเพื่อปิดปากไปแล้ว

“เสี่ยโจ้” นายทุนใหญ่ในพื้นที่ภาคใต้ เป็นผู้กุมความลับ หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจพบ บัญชีการจ่ายส่วยน้ำมันเถื่อน เชื่อมโยงคนมีสีหลายหน่วยงาน ทั้งระดับผู้บัญชาการ ผู้บังคับการ ผู้กำกับ ไปจนถึงกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) นับเป็นเครือข่ายธุรกิจมืดในภาคใต้ที่ใหญ่ที่สุด

การหายสาบสูญของเสี่ยโจ้ยังคงเคลือบแคลงต่อไป ขณะที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. ประกาศให้เงินรางวัลนำจับ 1 ล้านบาท กับผู้ชี้เบาะแสเพื่อนำไปสู่การจับกุมเปิดโปงวงการตำรวจ เจ้าหน้าที่ของรัฐและเอกชนที่หลบซ่อนหลังเงามืดของธุรกิจผิดกฎหมาย

สารพัด‘ปริศนาดำมืด’2557

 

กองกำลังชุดดำ

ห้วงระยะเวลา 6 เดือนในการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. เกิดเหตุรุนแรงหลายครั้ง มีทั้งการใช้อาวุธสงครามสารพัดชนิดมาถล่มผู้บริสุทธิ์และตามสถานที่ราชการ ทำให้มียอด
ผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก

เหตุรุนแรงครั้งสำคัญในช่วงการชุมนุม เช่น วันที่ 18 ก.พ. ตำรวจชุดปราบจลาจลจากตำรวจภูธร ภาค 2 ถูกกองกำลังปริศนายิงถล่มระหว่างปฏิบัติการขอคืนพื้นที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลลาศ มีตำรวจเสียชีวิตจากการปะทะครั้งนั้น 2 นาย กองกำลังปริศนายังปะทะอย่างดุเดือดกับหน่วยอรินทราช 26 ที่เข้ามาช่วยเหลือชุดปราบจลาจล บริเวณโรงแรมรัตนโกสินทร์อีกด้วย ซึ่งจากเหตุการณ์นี้ทำให้ศูนย์รักษาความสงบสั่งยุติปฏิบัติการขอคืนพื้นที่ทันที เพราะประเมินว่ากองกำลังชุดดำมีประสิทธิภาพเหนือกว่าตำรวจมาก มีการคาดการณ์ไปต่างๆ นานา ว่าต้องเป็นหน่วยพิเศษของทหารที่มาช่วยม็อบ กปปส.แน่

ก่อนหน้านั้นไม่นาน วันที่ 17 ม.ค. ก็มีการลอบปาระเบิดแบบ RGD-5 ใส่ขบวนของ สุเทพ เทือกสุบรรณ บริเวณถนนบรรทัดทอง มีผู้บาดเจ็บหลายราย เหตุการณ์นี้ก็ยังจับมือใครดมไม่ได้ คล้อยหลังมาวันที่ 19 ม.ค. ก็มีคนร้ายขว้างระเบิดใส่กลุ่มผู้ชุมนุมที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ บาดเจ็บ 28 ราย สาหัส 5 ราย เสียชีวิต 1 ราย แม้กล้องวงจรปิดจะจับภาพหน้าคนร้ายได้ แต่ที่สุดก็ยังจับมือใครดมไม่ได้ 

‘ไม้หนึ่ง-สุทิน’ ถูกปลิดชีพ

อีกหนึ่งปริศนาคือ การบุกลอบฆ่า ไม้หนึ่ง ก.กุนที กวีเสื้อแดง เสียชีวิตที่ลานจอดรถร้านอาหารย่านลาดปลาเค้า เมื่อวันที่ 23 เม.ย. ท่ามกลางอุณหภูมิทางการเมืองที่เข้มข้น

มีการวิเคราะห์ว่าการลอบสังหารไม้หนึ่งอาจเป็นแผนสังหารแกนนำคนเสื้อแดงซึ่งไปพัวพันกลุ่ม “สีเขียว” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากก่อนหน้านั้นไม่นาน “ขวัญชัย ไพรพนา” แกนนำคนเสื้อแดง จ.อุดรธานี ก็ถูกลอบยิงด้วยอาวุธสงครามจากทหารในค่ายใหญ่ จ.กาญจนบุรี แต่ขวัญชัยก็รอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด อย่างไรก็ตามคดีของไม้หนึ่งกลับไร้วี่แววมือสังหาร ทั้งที่นายตำรวจใหญ่หลายคนมั่นใจจะได้ตัวคนร้ายแน่

อีกคดีที่ยังลึกลับก็คือการลอบยิง สุทิน ธราทิน ผู้ประสานงานกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ บนถนนศรีนครินทร์ หน้าวัดศรีเอี่ยม เมื่อวันที่ 26 ม.ค. แม้จะมีการจับกุม สุรกริช ชัยมงคล ข้อหาฆ่าสุทิน และฝากขังในเวลาต่อมา แต่สุรกริชได้ปฏิเสธข้อกล่าวหา ทว่าเรื่องกลับซับซ้อนขึ้นไปอีก เมื่อสุรกริชเสียชีวิตปริศนาด้วยอาการหอบหืด ทั้งที่ไม่เคยมีโรคประจำตัว หลังเข้าเรือนจำไม่ถึง 2 เดือน

สารพัด‘ปริศนาดำมืด’2557

 

ใคร...เสธ.น้ำเงิน

ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมือง จากสภาสู่ท้องถนน และจากท้องถนนสู่การยึดอำนาจ คสช. ทำให้เกิดเฟซบุ๊ก 2 แฟนเพจที่โดดเด่นขึ้นมาในการวิเคราะห์เบื้องลึก-เบื้องหลัง

ฝ่าย คสช.-กปปส. มีแนวรบสำคัญผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจชื่อว่า “แฉ...ความลับ” ตัวละครสำคัญ ชื่อ “เสธ.น้ำเงิน” คอยวิเคราะห์สถานการณ์รายวันในมุมมองของทหารตั้งแต่ความเคลื่อนไหวของ “คนแดนไกล” เรื่อยไป หรือการปฏิรูปพลังงาน เสธ.น้ำเงิน วิเคราะห์ได้เป็นฉากๆ กระนั้นเองการวิเคราะห์เรื่องพลังงานกลับไม่เข้าหูมวลชนเสื้อเหลือง จนทำให้เสธ.น้ำเงิน ถูกมองว่าเป็นมวลชนฝ่ายประชาธิปัตย์ ขณะที่ครั้งหนึ่ง คสช.ก็ออกมาเตือน เสธ.น้ำเงิน ให้หยุดเขียน เนื่องจากอาจขัดหลักการปรองดอง แต่ เสธ.น้ำเงิน ก็ยังเดินหน้าเขียนต่อไป โดยมียอดไลค์แฟนเพจมากกว่า 4 แสนไลค์

ย้ายมาที่มุมแดง มีเพจ “กูต้องได้ 100 ล้าน จากทักษิณแน่ๆ” หรือถูกเรียกสั้นๆ ว่า “เสธ.กู” โดยใช้ไอคอนเป็นรูปหน้าของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตัดต่อใส่ชุดกัปตันเครื่องบิน ซึ่งปัจจุบันมียอดไลค์กว่า 7 หมื่นไลค์ วิเคราะห์ฝ่ายตรงข้ามอย่าง กปปส. ศาล และกองทัพ รวมถึงช่วงที่มีการกวาดล้างเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ จนได้รับความนิยมในหมู่คนเสื้อแดงอย่างสูง อย่างไรก็ตามปริศนาที่ค้างใจแฟนเพจก็คือทั้ง สองคนคือใคร

บิลลี่โดนอุ้ม?

การหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยของ บิลลี่ หรือ พอละจี รักจงเจริญ วัย 31 ปี ชาวกะหร่าง นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ห้วยแม่เพรียง อ.แก่งกระจาน ตั้งแต่วันที่ 17 เม.ย.ที่ผ่านมา รวมแล้วกว่า 8 เดือน แม้จะมีการระดมเจ้าหน้าที่ลงจุดเกิดเหตุเพื่อค้นหาแต่ก็ยังไร้วี่แวว

หลายปมสงสัยสำหรับการต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนของบิลลี่อาจสร้างความไม่พอใจให้แก่เจ้าหน้าที่อุทยานและเชื่อมโยงไปถึงการหายตัวไป แต่ปมดังกล่าวก็ยังไม่ถูกฟันธงว่าจริงหรือไม่ นอกจากความขัดแย้งข้างต้น “อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน” ยังเป็นพื้นที่ผลประโยชน์จากสัตว์ป่าของบรรดานักล่าและนายทุนสนับสนุนให้มีผู้ทำผิดกฎหมาย