ยัก 'ผักทำเนื้อ' ช่วยโลกกู้สุขภาพ : Meat Avatar หมูจำแลง ‘แพลนต์เบสคนไทย’

โดย...รัชพล ธนศุทธิสกุล

ในราคาใกล้เคียงกับราคาหมูในท้องตลาด แต่มีสารอาหารเป็นประโยชน์ต่อร่างกายของพืชผัก แถมไขมันต่ำ โปรตีนสูง ทานแล้วไม่รู้สึกผิดทั้งชีวิตและสิ่งแวดล้อม

ซึ่ง 'Meat Avatar' เนื้อจำแลงที่แปรรูปจากพืชไปเป็นเนื้อสัตว์ จะวางจำหน่ายในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้ร่วมกับร้านอาหารต่างๆ และในที่ห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต ช่วงกลางปีนี้ เพื่อให้คนไทยทุกคนเข้าถึงได้

และอย่างที่รู้ๆ ว่าอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สัตว์ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากอันดับ 1 โพสต์ทูเดย์จึงพูดคุยกับ "วิภู เลิศสุรพิบูล" และ "วรุตม์ จันทร์โพธิ์" สองผู้ก่อตั้งแบรนด์ Meat Avatar เนื้อจำแลงที่จะมาเล่าถึงอาหารแห่งอนาคตไทยที่ดูแลสุขภาพพร้อมกับสิ่งแวดล้อมไปในตัว

รู้จัก‘เนื้อจำแลง’แพลนต์เบส

แนวคิดเรื่อง แพลนต์เบส (plant-based meat) อาหารที่ปราศจากเนื้อสัตว์ได้ถูกคิดค้นขึ้นเมื่อราว 30 ปี ที่แล้ว โดยแพลนต์เบสในช่วงแรกจะเน้นการนำผักและธัญพืชมาปรุงดังนั้นรสชาติและกลิ่นก็จะออกไปทางผักและถั่วอย่างชัดเจน ต่อเนื่องจากกระแสของการรับประทานอาหารประเภทมังสวิรัติ

ด้วยความที่เกิดกระแสที่แพร่หลายและได้รับความนิยมเป็นอย่างมากทั่วโลก เมืองใหญ่ๆ หลายๆ ของโลกมีร้านอาหารไม่ใช้เนื้อสัตว์เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด เมนูร้านอาหารทั่วไปก็ต้องเสริมเมนูผักและธัญพืช จนล่วงจะเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ในปี 2009 เทคโนโลยีรุดหน้าอย่างรวดเร็ว ‘เนื้อแพลนต์เบส’ ได้ถูกคิดค้นขึ้นที่ประเทศสหรัฐอเมริกา

โดยรูปแบบของแพลนต์เบสที่โด่งดังในปัจจุบันออกมาในรูปของผลิตภัณฑ์เนื้อวัวใน ‘แฮมเบอร์เกอร์’ และเจ้าที่ถือเป็นยักษ์ใหญ่ครองตลาดในเวลานี้คือ อับดับ 1.Beyond Meat และ 2.Impossible Food ขณะที่เมืองไทย ‘Meat Avatar’ คือแบรนด์แรกที่เกิดขึ้น

ฟิวเจอร์ฟู้ด(โลก)ไทย

วิภู หัวเรือใหญ่ผู้ก่อตั้งแบรนด์ ‘Meat Avatar’ บอกว่า ตัวเขาเองนั้นก็พบเข้ากับแพลนต์เบสเบอร์ต้นแบรดน์ Beyond Meat เมื่อ 5 ปี ที่แล้วระหว่างเดินทางไปดูงานเทศกาลผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อนำอาหารที่โดดเด่นมานำเข้า-ส่งออก และนั่นคือจุดเริ่มต้น ของ ‘Meat Avatar’ แบรนด์เนื้อจำแลงสัญชาติไทยเจ้าแรก

“รสชาติแรกที่ซื้อมาชิมอร่อยมาก ไม่เหมือนเบเกอร์มังสวิรัติที่เราเคยกิน มีแต่ผัก แป้ง ไม่มีรสเนื้อ”

หลังรับรสชาติวิภูในวัย 34 ปีผู้ริเริ่ม 'Meat Avatar' ในตอนนั้น ไม่ได้มองว่าเนื้อแพลนต์เบสจะเป็นเทรนด์ของผู้ไม่ทานผลิตภัณฑ์จากสัตว์เท่านั้น คนที่ใส่ใจ ‘เรื่องของสุขภาพ’ ซึ่งเป็นกระแสมาแรงและดีต่อทุกๆ คนอีกด้วย

แต่อย่างไรก็ตามด้วยราคาที่แพงกว่าเนื้อจริงถึง 2 เท่า ขนาดที่อเมริกาเองเป็นแหล่งผลิต การนำเข้าเนื้อแพลนต์เบสมีแต่คนกลุ่มระดับบนเท่านั้นที่บริโภคได้ จึงต้องล้มความคิดดังกล่าวไป

“เราอยากให้คนไทยได้ทานอาหารที่ดี ฝรั่งเรียกว่า ‘ฟิวเจอร์ฟู้ด’ อาหารแห่งอนาคต เพราะเป็นการลดการทานเนื้อสัตว์ให้มันน้อยลงและได้คุณประโยชน์ที่ได้จากผัก จะทำอย่างไรให้มันเป็นไปได้และได้รับความนิยมในบ้านเรา

“ก็ปิ๊งไอเดียว่าทำไมเราไม่ทำเอง ประเทศไทยเราอุดมสมบูรณ์ พืช ธัญญาหาร ก็นำความคิดมาปรึกษาและฟอร์มทีมขึ้นมาทำปี 2015 ตอนนี้มีออกมา 2 รูปแบบ คือหมูสับ และหมูกรอบ ซึ่งคุณค่าทางอาหารดีมาก แคลลอรี่ 127 ไม่มีคอเลสเตอรอล โปรตีน 16.8 กรัม ไขมัน 0.91 กรัม มีไฟเบอร์ 1.74 กรัม โซเดียมเพียง 40 มิลลิกรัม ในปริมาณเนื้อหมู 100 กรัม”

ป้องกันโลก-แก้อาหารขาด

“ถ้าเราไม่เริ่มแล้วใครจะเริ่ม ถ้าจะอยู่กันไปยาวๆ มันไม่ใช่แค่เรื่องธุรกิจ มันต้องมีเรื่องของการให้กลับสังคม” วิภู บอกต่อถึงวัตถุประสงค์ของการผลักดัน และพัฒนาจำแลงเนื้อจากพืชให้เกิดขึ้น เพราะอาหารจากพืชสามารถช่วยแก้ไขปัญหาโลกร้อนให้เบาบางลงได้ในอนาคต แถมช่วยให้โลกไม่เข้าสู่สภาวะขาดแคลนอาหารอีกด้วย

โดยข้อมูลขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ FAO (Food and Agriculture Organization) คาดการณ์ว่า จำนวนประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นจากปี 2018 ที่มีจำนวนประชากรอยู่ที่ 7,000 กว่าล้านคน เพิ่มขึ้นเป็น 9,000 กว่าล้านคนในปี 2050 ซึ่งส่งผลให้ความต้องการบริโภคเนื้อสัตว์มีปริมาณที่มากขึ้นตามไปด้วย ในขณะที่ปัจจุบันมีจำนวนผู้ที่ขาดแคลนสารอาหารบนโลกถึง 1,000 ล้านคน

นอกจากนี้ในเรื่องของทรัพยากรที่ใช้ในปริมาณที่สูง เปรียบเทียบกับเนื้อหมูขนาด 75 กรัม ต้องใช้น้ำถึง 30,000 กว่าลิตร ในการเลี้ยงจนกว่าจะโต คิดเป็นจำนวนน้ำเท่ากับคนๆ หนึ่งอาบน้ำเช้า-เย็น ได้ถึง 9 เดือน ขณะที่น้ำดิบทั้งโลกที่ใช้ได้ถูกนำไปใช้เลี้ยงสัตว์ 33 %

“อุตสาหกรรมปศุสัตว์ทั้งโลกมีผลกระทบต่อสภาะแวดล้อมปล่อยแก๊ซ 14.5% มากกว่าอุตสกรรมน้ำมัน พลังงาน เหล็ก รวมกัน และสำหรับการกินสเต็ก 1 ชิ้น เท่ากับการขับรถเบนซิน เกือบ 3,000 กิโลเมตร มากกว่าขับรถจากเหนือจรดใต้บ้านเรา” วรุตม์ หนึ่งในผู้ก่อตั้งย้ำสิ่งที่น้อยคนจะรู้ว่าการขับรถเมื่อวัดกับการกินเนื้อนั้น เนื้อสัตว์ทำลายสิ่งแวดล้อมมากว่าการขับรถ

“ตอนนี้มันก็เริ่มขึ้นมาแล้ว และเราก็มองว่ามันทุกอย่างกระทบต่อเรา เทรนด์คนรุ่นใหม่ รักสุขภาพ ยังไม่รักโลก แต่อย่างน้อยๆ พอรักตัวเองแล้วก็จะหันมารักโลก เนื้อแพลนต์เบสก็ตอบโจทย์เรื่องสุขภาพและยังช่วยโลก โอกาสที่ธุรกิจนี้จะเติบโตมีราคา ไม่ใช่แค่เป็นทางเลือก”

‘พัฒนาไทย’ อย่างยั่งยืน

การกินอาหารจากพืชแทนเนื้อสัตว์นอกจากเป็นการตัดวงจรโลกร้อน ยังเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาอย่างยั่งยืนไปด้วยจากการส่งเสริมผู้ผลิตพืชผลเกษตรกรไทยให้มีรายได้ที่ดี

“แพลนต์เบสของ Meat Avatar ใช้วัตถุดิบไม่ดัดแปลงพันธุ์กรรม (Non GMO) ของเกษตรกรไทยที่มีมาตรฐาน GMP ก็ช่วยส่งเสริมภาคการเกษตรที่ได้มาตรฐานทำให้เขาเติบโตไปด้วยกันกับเราด้วย ซึ่งผลพลอยได้อนาคตพืชผลที่ปลอดภัยมีมาตรฐานก็จะมีมากขึ้นราคาถูกลงให้คนไทยได้บริโภค และด้านอื่นๆ ในอนาคต” วิภู ระบุ

วัตถุดิบสำคัญของ Meat Avatar ประกอบด้วยธัญพืช อาทิ ถั่วลันเตา ถั่วเหลือง เห็ด บุก บีทรูท แครอท และเพื่อให้ออกมาเป็นเนื้อแพลนต์เบสที่มีคุณค่าทางโภชนาการเทียบเท่าเนื้อจริงและมีรสชาติ กลิ่น ลักษณะและสีสันที่เหมือนจริง นักวิทยาศาสตร์อาหารจะคัดเฉพาะส่วนที่สามารถนำไปสกัดโปรตีนได้มากที่สุด จนออกมาเป็นหมูกรอบ หมูสับและไข่ดาว สามารถทำได้หลากหลายเมนูด้วยกัน เช่น ผัดกะเพราไข่ดาว หมูทอดกระเทียม ผัดหนำเลี๊ยบ เป็นต้น

“เนื้อจากพืชเป็นเนื้อสัตว์ทางเลือกของเทรนด์อาหารใหม่ที่ผู้บริโภคได้โดยไม่ทำร้ายสัตว์และได้ดูแลสิ่งแวดล้อมและสุขภาพดีไปในคราวเดียวกัน อนาคตตั้งใจสร้างคอมมิวนิตี้อาหารแพลนต์เบสในไทยให้เข้มแข็ง ส่งออกนอกและวางขายคู่กับเนื้อจริงๆ เพราะแพลนต์เบสไม่ใช่แค่เรื่องของอาหาร เสื้อผ้า ไลฟ์สไตล์ เป็นไปได้หมด ตัวสินค้าของมันเองมีทั้งเรื่องสุขภาพ เรื่องของโลกและจริยธรรม”

และนี่ก็คือเรื่องราวของ ‘Meat Avatar’ แบรนด์แพลนต์เบสสตาร์ทอัพไทยที่เป็นมิตรกับโลกและตระหนักถึงความสำคัญของสุขภาพและการผลิตอาหารอย่างยั่งยืนสำหรับคนไทย ซึ่งในอนาคตภายใน 3 ปี วางเป้าหมายก้าวขึ้นเป็นเบอร์ต้นของทวีปเอเชีย