posttoday

เล็งดึงกลุ่มเกย์มะกันเที่ยวไทย

07 มิถุนายน 2554

ททท.เดินหน้าขยายตลาดอเมริกา แนะผู้ประกอบการโฟกัสกลุ่มเกย์ คู่รักฮันนีมูน

ททท.เดินหน้าขยายตลาดอเมริกา แนะผู้ประกอบการโฟกัสกลุ่มเกย์ คู่รักฮันนีมูน

นายอักกพล พฤกษะวัน ที่ปรึกษา 11 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ตลาดนักท่องเที่ยวชาวอเมริกัน หรือตลาดอเมริกานั้นเป็นตลาดที่น่าสนใจ และยังมีช่องว่างอีกมาก ซึ่งผู้ประกอบการจำเป็นต้องมองหาตลาดกลุ่มนักท่องเที่ยวใหม่ๆ อย่าง ททท. จึงเปิดโครงการสัมมนาการส่งเสริมตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพอเมริกาให้กับผู้ประกอบธุรกิจโรงแรม บริษัทนำเที่ยว หน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษา แหล่งท่องเที่ยวนันทนาการ และโรงพยาบาลแนะนำแนวทางและกลยุทธ์ทางการตลาดเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีศักยภาพ เช่น กลุ่มรักร่วมเพศ เกย์ กลุ่มคู่รักฮันนีมูน กลุ่มเกษียณอายุ เป็นต้น

นางจุฑาพร เริงรณอาษา รองผู้ว่าการด้านตลาดต่างประเทศ ดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าการด้านตลาดยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง และอเมริกา กล่าวว่า กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวอเมริกันที่มีแนวโน้มเติบโตในปัจจุบัน คือ กลุ่มเกย์ ซึ่งมีสัดส่วน 67% ของประชากรในสหรัฐอเมริกา 310 ล้านคน และกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีรายได้สูง มีรสนิยมดี ใช้จ่ายสูง

นอกจากนี้ ยังมี “กลุ่มนักท่องเที่ยวเกย์จะตัดสินใจไปเที่ยวประเทศที่ให้การต้อนรับและยอมรับสถานะภาพของพวกเขา ประเทศไทยซึ่งเป็นเมืองพุทธจึงไม่มีกฎข้อห้ามหรือต่อต้านกลุ่มรักร่วมเพศ ในขณะเดียวกันประเทศที่เป็นคู่แข่งของไทย ซึ่งชาวอเมริกันนิยมไปเที่ยวมากที่สุดในทวีปเอเชีย คือ จีน อินเดีย และมาเลเซีย ไม่ต้อนรับนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จึงเป็นโอกาสของไทยที่จะได้นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้” นางจุฑาพร กล่าว ในนอกจกกลุ่มคู่รักฮันนีมูนที่น่าสนใจ เพราะมีการใช้จ่ายสูงกว่ากลุ่มนักท่องเที่ยวทั่วไปถึง 3 เท่า หรือประมาณ 1.68 แสนบาทต่อทริป นอกจากนี้ยังมีกลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่จะเข้ามาใช้บริการทางการแพทย์และท่องเที่ยวด้วย ซึ่งต้องเร่งใช้กลยุทธ์ทางการตลาดอย่างโซเชียลมีเดียเจาะตลาดนี้ไปพร้อมๆ กัน โดยคาดว่าในปีหน้าจะมีชาวอเมริกาเดินทางไปรับบริการในต่างประเทศประมาณ 1.6 ล้านคน แบ่งเป็น 8 แสนคนเดินทางไปรักษาในทวีปยุโรป และเอเชีย ซึ่งประเทศไทยมีส่วนแบ่งในตลาดดังกล่าว 1 – 5% หรือคิดเป็นประมาณ 8,000 – 4 หมื่นคน ทาง ททท.จึงเร่งหาทางขยายฐานลูกค้าในกลุ่มนี้ผ่านตัวแทนประกันสุขภาพ ส่วนช่องทางการตลาดที่ผู้ประกอบการไทยต้องเร่งปรับตัวเพื่อเป็นกลยุทธ์หลักในการขยายฐานนักท่องเที่ยว คือ ช่องทางออนไลน์ ผ่านโซเชียลมีเดีย เช่น เฟสบุ๊ก ทวิตเตอร์ ยูทูบ์ การแนะนำบอกต่อ โดยนักท่องเที่ยวที่มีประสบการณ์ผ่านบล็อก เวบไซต์ การจับมือกับเวบไซต์ที่ชาวอเมริกันนิยมเข้าไปซื้อตั๋วเครื่องบิน แพจเกจทัวร์ เพื่อให้สิทธิพิเศษ โปรโมชั่นเป็นต้น สำหรับภาพรวมนักท่องเที่ยวชาวอเมริกันในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา เติบโตแล้ว 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ในขณะที่ภาพรวมนักท่องเที่ยวทั้งหมดที่เดินทางเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยมีอัตราการเติบโตแล้ว 18% โดยชาวมาเลเซียยังคงเป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเป็นอันดับ 1 จากเป้านักท่องเที่ยวทั้งปีที่ 16.8 ล้านคน นายอักกพล กล่าวต่อว่า ในขณะนี้ประเทศไทยมีคู่แข่งเพิ่มขึ้นมาก ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเอเชียด้วยกัน เช่น จีน เวียดนาม เป็นต้น เนื่องจากประเทศไทยเหล่านั้นมีรัฐบาลค่อยให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี และไม่มีปัญหาทางการเมือง อย่างไรก็ตามประเทศไทยจะต้องเร่งพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ให้มากขึ้นเนื่องจากแนวโน้มนักท่องเที่ยวในอนาคตจะเดินทางมาท่องเที่ยวเพื่อในเชิงอนุรักษ์มากขึ้น เช่น มาเที่ยวเพื่อปลูกป่า สร้างโรงเรียน เป็นต้น “ส่วนปัญหาเร่งด่วนที่ ททท.และรัฐฯ ต้องร่วมมือกันเร่งทำ คือการจัดโซนนิ่งสถานที่ท่องเที่ยว เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถเลือกสถานที่ท่องเที่ยวได้ตามความต้องการ และยังเป็นการจัดระเบียนปริมาณโรงแรม สปา ที่พัก ที่ขณะนี้เกินความต้องของตลาดแล้ว และจะส่งผลให้เกิดสงครามราคาขึ้นได้ในอนาคต เช่น ปัจจุบันประเทศไทยมีห้องสำหรับทำสปา 4 แสนห้องจากผู้ประกอบการกว่า 9,000 ราย ซึ่งนับว่ามากกว่าความต้องการ” นายอักกพล กล่าว สถิตินักท่องเที่ยวชาวอเมริกันในปี 2553 พบว่ามีการเดินทางมาประเทศไทยเป็นจำนวน 611,792 คน สร้างรายได้กว่า 35,500 ล้านบาท นักท่องเที่ยวกลุ่มดังกล่าวมีระยะเวลาพักเฉลี่ย 14 – 15 วัน มีการใช้จ่าย 4,100 – 4,300 บาทต่อคนต่อวัน ส่วนใหญ่นิยมไปเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม เชิงอนุรักษ์ ผจญภัย โดยจังหวัดที่ได้รับความนิยมสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพฯ ภูเก็ต พัทยาและมีแนวโน้มขยายตัวไปยังแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ เช่น เกาะสมุย เชียงราย หัวหิน ชะอำ กาญจนบุรี อยุธยา เกาะช้าง และกระบี่ เป็นต้น