posttoday

เตรียมสอบเพิ่มอดีตไวยาวัจกรวัดบวรฯโกงเงินวัดสาขาอีก 2 แห่ง

05 เมษายน 2565

ตำรวจกองปราบเตรียมลงพื้นที่ จ.ตราด สอบพยานบุคคลเพิ่ม หลังพบอดีตไวยาวัจกรวัดบวรฯทุจริตเงินวัดสาขาเพิ่มอีก 2 แห่งในพื้นที่ 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันพรุ่งนี้( 6 เม.ย.) เวลาประมาณ 09.00 น. ทีมคณะพนักงานสอบสวนกองปราบปรามฯ จะนำกำลังลงพื้นที่ยัง วัดรัตนวราราม จ.ตราด อีกครั้ง เพื่อสอบปากคำพยานบุคคลต่างๆที่เกี่ยวข้องกับคดีโดยเฉพาะเจ้าอาวาสวัด และพระลูกวัด รวมถึงเจ้าของโรงโม่เพชรสยามศิลาตราด ซึ่งเป็นผู้ทำบัญชีของวัด เพื่อตรวจสอบข้อมูลรายละเอียดบัญชีการเงินของวัด หลังมีการตรวจสอบพบเพิ่มเติมว่า นายเนย ได้มีการทุจริตยักยอกเงินวัดสาขาในพื้นที่ จ.ตราด อีก 2 วัด คือ วัดรัตนวราราม และ วัดคีรีวิหาร ซึ่งเป็นงบจัดสร้างวัดรัตนวราราม 80 กว่าล้านบาท และ งบจัดสร้างโรงเรียนวัดคีรีวิหาร อีกกว่า10ล้านบาท

เมื่อวันที่ 5 เมษายน พระโสภณธรรมธาดา (หัน คุณวตฺโต) เจ้าอาวาสวัดคีรีวิหาร จ.ตราด เปิดเผยถึงกรณีการทุจริตเงินพัฒนาวัดคีรีวิหาร และโรงเรียนคีรีวิหาร ว่า ไม่ทราบเรื่องนี้ เพิ่งมาทราบจากผู้สื่อข่าว สมเด็จวันรัตท่านเกิดที่ ต.ชำราก และบวชเรียนที่วั และได้ไปเรียนที่วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อเติบโตขึ้นและมีตำแหน่งทางสงฆ์จึงได้เดินทางมาพัฒนาวัดคีรีวิหารที่เคยได้บวชเเละเรียน ท่านมาดำเนินการเมื่อปี 2523 นำกฐินมาทอดอย่างต่อเนื่องทุกปี ได้มีการสร้างกุฏิ บูรณะวัด และได้สร้างที่พักในบริเวณวัดใช้เป็นที่พักของสมเด็จวันรัตเมื่อเดินทางมาที่จ.ตราด

เตรียมสอบเพิ่มอดีตไวยาวัจกรวัดบวรฯโกงเงินวัดสาขาอีก 2 แห่ง

“ส่วนเรื่องการนำเงินพัฒนาวัดและโรงเรียน อาตมาไม่ทราบเรื่องเงิน และไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแต่ประการใดเพราะเป็นเงินคนละส่วนและไม่มีกรรมการวัดรับรู้ทั้งสิน ส่วนจะมีใครมาดำเนินการนั้นไม่รู้ ส่วนสถานที่ก่อสร้างโรงเรียนก็เป็นเพียงผู้จัดหาให้เท่านั้น” พระโสภณธรรมธาดา กล่าว

ขณะที่ ผู้คุมงานก่อสร้าง (ขอสงวนนาม) ที่กำลังคุมแรงงานก่อสร้างโรงอาหาร-โรงยิม โรงเรียนวัดคิรีวิหาร (สมเด็จพระวันรัต อุปถัมภ์) เปิดเผยว่า ตนเองเป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของสมเด็จพระวันรัต เวลามีการโครงการก่อสร้างของสมเด็จพระวันรัต ตนเองจะเป็นผู้ได้รับความไว้วางใจให้เข้าคุมแรงงานก่อสร้าง โดยอาคารโรงเรียนวัดคิรีวิหารทั้งหมด ตนเป็นผู้คุมงานแรงงานก่อสร้างทุกหลัง จะมีลูกศิษย์อีกคนหนึ่งของสมเด็จพระวันรัต เข้ามาตรวจงานอีกรอบ เรื่องงบประมาณในการก่อสร้างอาคารแต่ละหลังของโรงเรียนตนเองไม่รู้ยอดเงิน เพราะที่ผ่านมาสมเด็จพระวันรัตจะเบิกเงินมาจ่ายให้เองในแต่ละงวด จึงไม่มีปัญหาในเรื่องของการทุจริต แต่เมื่อสมเด็จเข้ารักษาอาการอาพาธโรคมะเร็งถุงน้ำดี เมื่อเดือนธันวาคม 2564 พบพฤติกรรมที่นายเนยเขียนเช็คออกมาเพื่อนำเงินไปจ่ายตามโครงการก่อสร้างต่าง ๆ แต่ไม่ยอมนำไปให้เป็นลักษณะที่เก็บเช็คเอาไว้เอง

ด้านนายสุรศักดิ์ อิงประสาร หรือ เสี่ยเพ่ง เจ้าของโรงโม่เพชรสยามศิลาตราด ผู้บริจาคที่ดิน 30 ไร่ เพื่อก่อสร้างวัดรัตนวราราม กล่าวว่า ส่วนตัวรู้จักสมเด็จพ่อ (สมเด็จพระวันรัต) เมื่อ 6 ปีผ่านมา เมื่อทราบว่าท่านจะต้องการสร้างวัดจึงได้บริจาคที่ดินจำนวน 30 กว่าไร่เพื่อก่อสร้างวัดที่เรียกว่า วัดรัตนวราราม กว่าจะดำเนินการก่อสร้างได้ต้องขออนุญาตจากสำนักพุทธจังหวัดตราดเพื่อส่งไปยังส่วนกลาง เมื่อได้รับการอนุญาตแล้วได้วางศิลาฤกษ์ โดยมี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย มาเป็นประธาน หลังจากนั้นสมเด็จพ่อได้มอบหมายให้คนชื่อเนยและมงคลเข้ามาดูแล และโอนเงินเข้ามาในบัญชีของโรงโม่เพชรสยามศิลาตราด การเบิกจ่ายต้องมี 3 คนซึ่งตนเองก็เป็น 1 ในนั้น แต่จะไม่เคยไปเบิกจ่ายในธนาคาร จะมีผู้เบิกจ่ายแทน โดยเงินทั้งหมดที่ดำเนินการก่อสร้างมา 5-6 ปี ผ่านเข้าบัญชีจำนวน 134 ล้านบาท และก่อนที่สมเด็จพ่อจะมรณภาพได้มีการโอนเงินมาให้ 19 ล้าน เพื่อดำเนินก่อสร้างในส่วนที่เหลืออีก 10%

“ ที่ผ่านมาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องการเบิกจ่ายเงินใด ๆ และไม่มีส่วนร่วมการยักยอกเงินในครั้งนี้ เพราะว่า การเบิกเงินจะมีผู้รับรู้อยู่ 3 คน การเบิกจ่ายจะใช้ 2 ใน 3 แต่ผมไม่เคยไปเบิกเลย เมื่อมีค่าใช้จ่ายเท่าไรก็จะแจ้งไปแล้วนำมาจ่าย ทั้งในเรื่องค่าแรง ค่าวัสดุก่อสร้าง หรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ สามารถตรวจสอบได้ทั้งหมด เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้มาก เพราะคนใกล้ชิดเป็นผู้กระทำ ก่อนหน้านี้สมเด็จพ่อได้เปรยมาขอให้เร่งสร้างให้เสร็จก่อนที่จะไม่ได้เห็นวัด ก็ไม่คิดว่าจะมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น แต่ก็ต้องเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จตามเจตจำนงของสมเด็จพ่อให้ได้ โดยในวันที่ 6 เมษายน ทางผบก.ป.จะเดินทางมาพบที่โรงโม่หินเพชรสยามศิลาตราดเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง ผมพร้อมที่จะให้ตรวจสอบทั้งหมดและมีหลักฐานที่จะให้ทางตำรวจกองปราบได้รับรู้ด้วย" นายสุรศักดิ์กล่าว

ขณะที่ชุดสืบสวน ระบุว่า จากการตรวจสอบเส้นทางการเงิน พบมีการโอนเงินจากบัญชีธนาคารวัดเข้าบัญชีส่วนตัวของนายเนยหลายครั้ง ก่อนจะนำไปแปลงเป็นทรัพย์สินอื่นๆ จำพวก รถหรู และ ทรัพย์สินมีค่าต่างๆ โดยเฉพาะรถหรูยี่ห้อต่างๆของนายเนยที่ตรวจยึดได้ทั้ง 9 คันนั้น จากการตรวจสอบเอกสารการครอบครอง พบมีชื่อของนายเนยเป็นผู้ครอบครองเพียงไม่กี่คัน ส่วนใหญ่ชื่อผู้ครอบครองรถจะเป็นชื่อของบุคคลใกล้ชิด อาทิ ชายหนุ่มคนสนิท พ่อ แม่ และ น้อง ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบให้แน่ชัดว่าบุคคลดังกล่าวมีส่วนรู้เห็นในการยักย้ายถ่ายเททรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิดด้วยหรือไม่ หากพบว่าบุคคลเหล่านี้มีเจตนาในการช่วยเหลือยักย้ายถ่ายเททรัพย์ เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบก็อาจมีการพิจารณาดำเนินคดีในความผิดฐานฟอกเงินกับกลุ่มบุคคลเหล่านี้

รายงานข่าวแจ้งอีกว่า ขณะเดียวกันจากการตรวจสอบบัญชีการเงินของวัดในช่วงปี 2564 ยังพบว่า นายเนยได้มีการนำบัญชีธนาคารของวัดจำนวนหลายบัญชีไปเบิกถอนออกมาเป็นเงินสดอยู่หลายครั้ง โดยไม่ทราบว่าเป็นการเบิกถอนเงินออกมาเพื่อวัตถุประสงค์ใด ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเป็นการเบิกถอนออกมาเพื่อนำไปใช้จ่ายส่วนตัว หรือ นำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ของวัด และมีการเบิกถอนเงินเหล่านี้รวมทั้งหมดเป็นจำนวนเงินเท่าใด อาจต้องใช้เวลาในการแกะรอยตรวจสอบพอสมควร เนื่องจากบัญชีธนาคารของวัดมีด้วยกันหลายบัญชี และ มีการทำธุรกรรมทางเงินทับซ้อนเป็นจำนวนมาก