posttoday

ภาคประชาชนจี้มหาดไทยฟันโทษร้านเหล้าปล่อยโจ๋มั่วสุม

15 ตุลาคม 2564

ภาคประชาชนร้องมหาดไทย ฟันโทษสูงสุดร้านเหล้าเย้ยพ.ร.ก.ฉุกเฉินปล่อยวัยรุ่นมั่วสุม หวั่นเป็นแหล่งแพร่เชื้อ กระทบแผนเปิดประเทศ

เมื่อวันที่ 15ต.ค.64 ที่กระทรวงมหาดไทย นายชูวิทย์ จันทรส ผู้ประสานงานเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ เข้ายื่นจดหมายเปิดผนึกถึงนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผ่านนายพิริยะ ฉันทดิลก รองอธิบดีกรมการปกครอง ขอให้ตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมายขั้นสูงสุดกับสถานบริการ “หลังเขา” ที่ละเมิด คำสั่ง คสช. ที่ 22/2558 ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และกฎหมายหลายฉบับ นายพิริยะ ฉันทดิลก รองอธิบดีกรมการปกครอง กล่าวภายหลังรับหนังสือว่า ขอไปตรวจสอบเรื่องนี้อีกครั้ง คงต้องไปดูในรายละเอียดของพฤติกรรม สภาพแวดล้อม เพราะแต่ละเคสเกิดขึ้นไม่เหมือนกัน อยากขอร้องผู้ประกอบการว่าอย่าทำเรื่องแบบนี้เลย เพราะนอกจากจะเป็นแหล่งแพร่ระบาดของโควิด ยังทำให้เด็กเยาวชนไปมั่วสุม

ดังนั้นควรคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ทำธุรกิจต้องมีจริยธรรม หยุดอาศัยช่องว่างทางกฎหมาย สร้างความเดือดร้อนกับสังคม ทั้งนี้ฝากถึงประชาชนขอให้แจ้งเบาะแสการกระทำผิดเข้ามา เพื่อทางเจ้าหน้าที่จะได้ดำเนินการตรวจสอบลงโทษต่อไป นายชูวิทย์ จันทรส ผู้ประสานงานเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ กล่าวว่า ตามที่ปรากฎเป็นข่าวเมื่อวันที่10 ต.ค.ที่ผ่านมา กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.หนองแค ได้ตรวจค้นร้านหลังเขา อ.หนองแค จ.สระบุรี พบวัยรุ่นชายหญิง จำนวน 220 คน มั่วสุมปาร์ตี้เหล้า-ยา ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งสถานบันเทิงแห่งนี้ เคยถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ จับกุมเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2564 ข้อหาร่วมกันมั่วสุมทำกิจกรรมอันเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของเชื้อโรคโควิด-19 และยังเคยถูกชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย บุกจับกุมเมื่อปลายปี 61 จนถูกสั่งปิดเป็นเวลา 5 ปี ตามคำสั่ง คสช.แม้เคยถูกสั่งปิด แต่กลับมาเปิดใหม่ในพื้นที่เดิมโดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย และเหตุการณ์ล่าสุดพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 8 คน และต้องกักตัวผู้ต้องหา กลุ่มนักเที่ยวไว้ทั้งหมดที่ศูนย์พักคอยไว้ 14 วันจึงมีข้อเสนอต่อปลัดกระทรวงมหาดไทย ดังนี้

1.ขอให้กระทรวงมหาดไทย ตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมายขั้นสูงสุดกับสถานบันเทิงแห่งนี้ที่ละเมิด คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 22/2558 ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พรบ.ควบคุมโรคติดต่อ พรบ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พรบ.สถานบริการ พรบ.ยาเสพติด และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยมีพฤติกรรมการกระทำผิดที่ซ้ำซากและไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย ซึ่งการฝ่าฝืนเปิดในสถานที่เดิมนี้ยังเป็นความผิดตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่46/2559 อีกด้วย เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างและดำรงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย 2. มีคำสั่งกำชับทุกจังหวัดให้ตรวจสอบ ดูแล กวดขัน สถานบริการหรือสถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายสถานบริการ ให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 22/2558 พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พรบ.ควบคุมโรคติดต่อ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันปัญหาสังคมที่จะเกิดขึ้น และนำไปสู่การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ระลอกใหม่

3.เครือข่ายฯ เข้าใจถึงความเดือดร้อนของสถานประกอบการ สถานบริการ ร้านเหล้า ผับ บาร์ ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลายมีการผ่อนผันให้สามารถดำเนินธุรกิจได้ ทุกสถานประกอบการจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันปัญหาที่จะตามมา ทั้งปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 และปัญหาสังคมอื่นๆ ตลอดจนสถานบริการควรช่วยกันตรวจสอบ จัดการผู้ประกอบการที่สร้างปัญหา ทำผิดกฎหมาย ไม่เคารพกติกาบ้านเมือง

และ4.เครือข่ายขอให้กำลังใจกรมการปกครอง และเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อความสงบสุขของสังคม และขอเรียกร้องให้ประชาชนช่วยกันเป็นหูเป็นตาเฝ้าระวัง แจ้งเหตุร้านเหล้าผับบาร์ที่ทำผิดกฎหมายทุกรูปแบบ ด้าน นายณัฐพงศ์ สำเภาแก้ว ผู้ประสานงานเครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง กล่าวว่า การกระทำของสถานบันเทิงแห่งนี้จะเห็นว่ามีการกระทำความผิดในหลายๆ ครั้ง ในประเด็นเดิมๆ เคยถูกสั่งปิด แต่ก็สามารถกลับมาเปิดใหม่ในพื้นที่เดิมโดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย และโรคระบาด ทางเครือข่ายฯ จึงขอให้มีการลงโทษตามกฎหมายสูงสุด มิใช่มุ่งเอาผิดแค่ผู้เข้ามาใช้บริการ และควรพิจารณาด้วยว่ามีใครที่เข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่ และกระทรวงมหาดไทยควรมีข้อสั่งการให้ทุกจังหวัดตรวจสอบ และเข้มงวดสถานบันเทิง การจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะขณะนี้เรากำลังจะเดินหน้าเปิดประเทศเพื่อรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา จึงไม่ควรปล่อยปละละเลยให้สถานบันเทิงกลายเป็นจุดเสี่ยงแพร่โรค เกิดคลัสเตอร์โควิด-19 ขึ้นมาอีก ซึ่งอาจจะกระทบกับแผนการเปิดประเทศของเราได้ จำเป็นที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันมิใช่ยอมทำผิดกฎหมายเพียงเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ