posttoday

หนุนแก้กม.คุมเครื่องดื่มแอลกอล์ทำให้รู้ทันกลยุทธ์ตลาดสมัยใหม่

11 สิงหาคม 2564

นักวิชาการโต้ธุรกิจน้ำเมาอ้างกม.คุมเครื่องดื่มแอลกอล์จำกัดเสรีภาพรังแกประชาชน อัดยับเหล้าเบียร์ทำประชากรโลกดับปีละ 3 ล้านคน 

นพ.ทักษพล ธรรมรังสี ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้การแก้ไข พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 เบื้องต้นมีการเสนอร่างมาใหม่อย่างน้อย 3 ฉบับ ได้แก่ ฉบับแก้ไขจากกระทรวงสาธารณสุข ฉบับจากฝ่ายผู้ประกอบการอุตสาหกรรมสุรา ซึ่งถูกจัดให้เป็นร่างฉบับประชาชน และร่างของภาคประชาสังคมที่อยู่ระหว่างการระดมรายชื่อผู้สนับสนุน และอาจจะมีร่างอื่น ๆ เพิ่มเติมอีก แต่การผลักดันเป็นไปได้ยากเนื่องจากเกิดการระบาดของโรคโควิด และการเมืองผันผวน และมีกลุ่มผู้ประกอบการพยายามสื่อสารให้เข้าใจในทำนองว่า การควบคุมสุราคือการจำกัดเสรีภาพ, กฎหมายคือเครื่องมือรีดไถผู้ประกอบการ,เป็นเผด็จการ, การห้ามขายห้ามนั่งดื่มคือการรังแกประชาชน เป็นต้น ถือเป็นคำพูดที่ชักนำให้เกิดอารมณ์ลบร่วมของสังคม ที่ไปไกลเกินกว่าคุณค่าและแก่นแท้ของกฎหมาย ที่ต้องการจัดการปัญหาแอลกอฮอล์ในสังคม

นพ.ทักษพล กล่าวว่า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นปัจจัยร่วมของการเสียชีวิตทั้งจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โรคทางจิตเวช จากอุบัติเหตุ และการกลุ่มโรคติดเชื้อ ข้อมูลทางระบาดวิทยาพบว่าดื่มแอลกอฮอล์เป็นสาเหตุของความสูญเสียทางสุขภาพอันดับหนึ่งของประชากรในวัย 15-49 ปี ทั้งในระดับโลกและประเทศไทย โดยทั่วโลกเสียชีวิตกว่า 3 ล้านคน และคนไทยประมาณ 2 หมื่นคน และยังทำให้เกิดความพิการ ก่อปัญหาสังคม อาชญากรรม ความยากจน การใช้ความรุนแรง ถือเป็นภัยเหล้ามือสอง คนที่ไม่ดื่มก็ได้รับผลกระทบไปด้วยจากการอุบัติเหตุ ความรุนแรง และขยายช่องว่างความเหลื่อมล้ำในสังคมมากขึ้น ผู้มีรายได้น้อยหลุดพ้นจากความยากจนได้ยากมากขึ้น คิดเป็นมูลค่าความเสียหายทางสังคมสูงกว่าผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ที่สังคมได้รับจากการเสียภาษีของธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลายเท่า คนดื่มแบกรับปัญหาไว้เพียงส่วนน้อย แต่สังคมต้องแบกรับภาระส่วนใหญ่  เช่น การที่รัฐจัดสวัสดิการรักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ที่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยร่วมนั้นก็มาจากภาษีของประชาชนโดยรวม

“ผลกระทบและความสูญเสียเหล่านี้ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์จึงไม่ใช่สินค้าธรรมดา สังคมจึงมีความชอบธรรมในการควบคุมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ให้มีการโฆษณา ส่งเสริมการขาย การบริโภคได้อย่างเสรี หยุดใช้คำว่าดื่มอย่างรับผิดชอบ เพราะองค์การอนามัยโลกและข้อมูลวิชาการยืนยันว่า ไม่มีการดื่มที่ปลอดภัย การดื่มในปริมาณน้อยย่อมมีความเสี่ยงน้อยกว่าการดื่มในปริมาณมาก แต่ไม่ว่าอย่างไรล้วนมีอันตายและปัญหาสุขภาพไม่ต่างกัน ” นพ.ทักษพล กล่าว  

ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกได้ทำการทบทวนและสรุปว่ามาตรการที่มีประสิทธิผลสูง คุ้มค่า สามารถปฏิบัติได้จริงในประเทศกำลังพัฒนา เรียกว่า “SAFER package” ประกอบด้วย 1.มาตรการทางภาษีและราคา 2. มาตรการลดการเข้าถึง หรือการควบคุมการขาย 3.มาตรการห้ามโฆษณาอย่างครอบคลุม 4.มาตรการบังคับใช้กฎหมายดื่มไม่ขับอย่างจริงจัง และ 5. การบำบัดรักษาผู้มีความเสี่ยงแต่เนิ่น ขณะที่ ธนาคารโลกและธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย(ADB) ก็มีท่าทีที่ชัดเจนต่อเรื่องนี้เช่นกัน ว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจมหาศาล ดังนั้นประเทศไม่ควรส่งเสริมตรงนี้เพื่อหวังกระตุ้นเศรษฐกิจ เป็นการปกป้องทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งหากมาตรการที่ดำเนินการมีความเข้มแข็ง จะให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าต่อสังคม

สำหรับ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 เป็นกลไกหลักในการบรรลุมาตรการเหล่านี้ แต่ต้องมีการปรับแก้ให้ทันต่อกลยุทธ์การตลาดสมัยใหม่ และบังคับใช้อย่างจริงจัง ขณะที่ระบบใบอนุญาตจำหน่ายแอลกอฮอล์ ตามพ.ร.บ.สรรพสามิตที่พัฒนาให้เหมาะสมกับสังคมไทยในปัจจุบันด้วย รวมถึงเปิดให้มีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย รวมถึงผู้แทนอุตสาหกรรมด้วย จะได้มองเห็นปัญหาร่วมกันอย่างรอบด้าน หากมีจุดอ่อน มีช่องว่างตรงไหน ก็เป็นหน้าที่ร่วมกันของสังคมไทยในการพัฒนาให้เข้มแข็งบนพื้นฐานเหตุผลและคุณค่าแก่นแท้ของการออกกฎหมาย