"ความจำเป็น-ประโยชน์" เมื่อไทยต้องฉีดวัคซีนสลับชนิด
สรุปความจำเป็น และ ประโยชน์ เมื่อไทยต้องฉีดวัคซีนสลับชนิด วัคซีนเชื้อตายเข็มแรกตามด้วยวัคซีนไวรัสเวคเตอร์ ท่ามกลางโควิดสายพันธุ์เดลตาที่มีแนวโน้มจะระบาดทั่วประเทศ
เมื่อวันที่ 13 ก.ค. 64 ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้แถลงประเด็นการฉีดวัคซีนโควิด 19 สลับชนิด โดยได้ชี้แจงถึง ความจำเป็นและประโยชน์ของการฉีดวัคซีนสลับชนิด ซึ่งมีเนื้อหาสรุปดังนี้
-ไทยยังมีวัคซีนโควิด 19 ปริมาณจำกัด จึงจำเป็นต้องศึกษาวิจัยรูปแบบการให้วัคซีนในประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุด
-ไทยมีวัคซีนใช้ 2 ชนิด คือ 1.วัคซีนเชื้อตาย ได้แก่ ซิโนแวค และซิโนฟาร์มที่เป็นวัคซีนทางเลือก และ 2.ไวรัสเวคเตอร์ คือ แอสตร้าเซนเนก้า
-วัคซีนชนิดไวรัสเวคเตอร์กระตุ้นภูมิต้านทานได้สูงกว่าเชื้อตาย
-วัคซีนทุกบริษัทผลิตมาจากไวรัสดั้งเดิมคืออู่ฮั่น พบว่ากระตุ้นภูมิต้านทานได้เท่าหรือสูงกว่าคนที่หายจากไวรัสอู่ฮั่นดั้งเดิม
-เมื่อไวรัสกลายพันธุ์ มีทั้งอัลฟา เดลตา จึงต้องการภูมิต้านทานที่สูงขึ้น ทำให้ประสิทธิภาพวัคซีนลดลงทุกตัว แต่บางตัว แม้ประสิทธิภาพลดก็ยังป้องกันไวรัสกลายพันธุ์ได้
-ขณะนี้การใช้ซิโนแวค 2 เข็ม ไม่พอต่อการป้องกันเดลตา ส่วนแอสตร้าเซนเนก้าต้องฉีด 2 เข็มจึงป้องกันได้ แต่มีระยะเว้นช่วงระหว่างเข็มนานมากกว่า 10 สัปดาห์
-ในสถานการณ์ระบาดที่ส่วนใหญ่เป็นเดลตาที่กระจายง่ายและรวดเร็ว จึงไม่สามารถรอการเว้นช่วงนานได้ จึงเป็นที่มาของการศึกษาการฉีดด้วยวัคซีนเชื้อตายตามด้วยไวรัสเวคเตอร์
-จากการติดตามผู้ได้รับวัคซีนมากกว่า 40 คน พบว่า คนที่ติดเชื้อธรรมชาติมีภูมิต้านทานประมาณ 60-70 u/ml, ซิโนแวค 2 เข็มภูมิต้านทานประมาณ 90-100 u/ml, แอสตร้าเซนเนก้า 2 เข็มภูมิต้านทานสูงประมาณ 950 u/ml
-ซิโนแวคเข็มแรกตามด้วยแอสตร้าเซนเนก้า ภูมิต้านทานเกือบ 750 u/ml ถือว่าได้ภูมิต้านทานสูงขึ้น และเร็วขึ้นกว่าเท่าตัวในเวลา 6 สัปดาห์ น่าจะเป็นประโยชน์สูงสุดกับประเทศในขณะนี้
-จากการทดสอบการขัดขวางไวรัส (บล็อกกิ้งแอนติบอดี) พบว่าการฉีดซิโนแวคตามด้วยแอสตร้าเซนเนก้ามีประสิทธิภาพขัดขวางไวรัสได้สูงขึ้นมาก
-ความปลอดภัยของการศึกษาการฉีดวัคซีนแบบสลับชนิด จากการฉีดสลับชนิดในไทยมากกว่า 1,200 คน พบว่าไม่มีรายใดที่มีอาการข้างเคียงรุนแรง และจะมีการศึกษาอย่างละเอียด คาดว่าจะทราบผลในสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้
-การติดเชื้อในประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์เดลตา โดยเฉพาะ กทม.เป็นเดลตา 70-80% และมีแนวโน้มจะระบาดทั่วประเทศ
-สายพันธุ์เดลตานั้นผู้ติดเชื้อจะมีปริมาณไวรัสในลำคอจำนวนมาก แพร่กระจายได้ง่าย โอกาสติดต่อคนสู่คนง่ายกว่าเมื่อก่อน
-ทุกคนต้องเคร่งครัดระเบียบวินัย ใส่หน้ากากอนามัย 100%เว้นระยะห่าง เป็นสิ่งที่ช่วยป้องกันได้ดีกว่าวัคซีน


