posttoday

สธ.แนะสวมหน้ากากอนามัยอยู่บ้าน หลังพบติดในครอบครัวพุ่ง

30 มิถุนายน 2564

ปลัดสธ.เตือนประชาชนให้เพิ่มความเข้มงวดการสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาเมื่ออยู่บ้าน หลังพบแนวโน้มติดเชื้อโควิด 19 ในครอบครัวเพิ่มสูงขึ้น

นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ว่า จากสถานการณ์โควิด 19 ที่ยังคงแพร่ระบาดเป็นวงกว้าง ข้อมูลของกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลพบผู้ติดเชื้อจากการสัมผัสในครอบครัว ชุมชน หรือออฟฟิศ ร้อยละ 74 ส่วนที่เหลือในรูปแบบคลัสเตอร์ โรงงาน แคมป์คนงานก่อสร้าง

ทั้งนี้หลายจังหวัดยังพบการติดเชื้อในโรงงาน สถานประกอบการ อย่างต่อเนื่อง จึงขอความร่วมมือผู้ที่ออกไปทำงานนอกบ้านหรือมีกิจกรรมอื่น ๆ เมื่อกลับถึงบ้านต้องรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าและอาบน้ำทันที

"ขอให้ทุกคนในครอบครัวสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา เว้นระยะห่าง แยกสำรับอาหาร งดการกินอาหารร่วมกันไปอีกระยะหนึ่ง หากมีความจำเป็นต้องไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ ขอให้เว้นระยะห่างและสวมหน้ากากอนามัย ไม่สัมผัสใกล้ชิด"ปลัดสธ.กล่าว

สำหรับพนักงานในออฟฟิศให้งดรับประทานอาหารร่วมกัน ไม่พูดคุยกันโดยไม่สวมหน้ากากอนามัย ไม่ไปในที่แออัด พลุกพล่าน ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์บ่อย ๆ เพื่อป้องกันการแพร่-รับเชื้อโควิด 19

นายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าวต่อว่า สำหรับแรงงานกลับภูมิลำเนาในต่างจังหวัดที่อาจติดเชื้อแล้วไม่แสดงอาการก่อนเดินทาง แม้ยังไม่พบการแพร่กระจายเชื้อออกสู่ชุมชน ขอให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดและสำนักงานป้องกันควบคุมโรค ดำเนินการเชิงรุก เจ้าหน้าที่สาธารณสุขและอสม. ร่วมกันเฝ้าระวังแรงงานต่างด้าว ไม่ให้มีการเคลื่อนย้าย รวมทั้งแจ้งเจ้าของโรงงาน ผู้ประกอบการดำเนินการมาตรการ Bubble and Seal ในกลุ่มโรงงานต่าง ๆ ตั้งแต่ยังไม่พบการติดเชื้อ เพื่อเป็นการเฝ้าระวังป้องกันโรค ควบคุมการเดินทางของแรงงานระหว่างบ้านและโรงงานอย่างเคร่งครัด ให้หลีกเลี่ยงการไปตลาด ชุมชนแออัด งดกิจกรรมรวมกลุ่มทุกชนิด และรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้เกิดขึ้นโดยเร็ว

ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้เร่งฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้กับกลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค โดยเลื่อนนัดฉีดวัคซีนจากเดือนสิงหาคมเป็นเดือนกรกฎาคม ส่วนศูนย์ดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียง ให้ประสานกับโรงพยาบาล เพื่อขอรับการฉีดวัคซีน โดยตั้งเป้าจะฉีดให้ครอบคลุมกลุ่มนี้ให้ได้ร้อยละ 50 ในสิ้นเดือนกรกฎาคม และได้เตรียมเพิ่มเป้าหมายฉีดในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ในลำดับต่อไป เพื่อลดการป่วยหนักและเสียชีวิต